GATI2015 Part 6 : Trip Day 5 – Disaster Management – Waste Management – Shibuya

  • 0

GATI2015 Part 6 : Trip Day 5 – Disaster Management – Waste Management – Shibuya

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : การเดินทางโดยรถไฟ (ภาคต่ออีกแล้ว) / การป้องกันตัวเองจากภัยพิบัติต่างๆ (ไฟไหม้ – แผ่นดินไหว) ที่ Ikebukuro / เดินเล่น Ikebukuro / ดูโรงงานเผาขยะ ที่ Shibuya / กินซูชิร้าน Midori Sushi / เดินเล่น Shibuya

วันนี้ตื่นเช้ามา ก็ต้องเดินทางอีกแล้ว วันนี้เดินทางไป Ikebukuro เพื่อไปเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติ แต่ว่าตั้งแต่เล่ามายังไม่ได้พูดถึงอาหารเช้าเลย เนื่องจากทุกวันต้องออกแต่เช้าจริงๆ อาารเช้าก็เลยต้องเตรียมตั้งแต่ตอนกลางคืน ซื้อ 7-eleven แช่ตู้เย็น แล้วเช้าเอาออกมาเข้า Microwave เอา การเดินทางวันนี้เป็นไปตามแผนนี้ นั่งจาก Oshiage แล้วไปเปลี่ยนรถที่ Otemachi แล้วต่อรถไปยัง Ikebukuro
วันนี้เดินทางน้อย ใช้ metro pass ไม่คุ้ม เลยยังไม่ตัดสินใจซื้อ pass เพราะเดินทางแค่ Oshiage -> Ikebukuro -> Shibuya -> Oshiage แค่นั้นเอง แล้วก็ Ikebukuro -> Shibuya ใช้ Yamanote Line ซึ่งเป็น JR ใช้ Pass ไม่ได้อีก ดังนั้นเลยยังไม่ใช้ pass ในวันนี้
แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นไปตามวางแผนอีกแล้ว เนื่องจาก หลังจากออกจากบ้าน คาดว่าจะเดินไปถึง Oshiage ไม่ทัน เลยต้องขึ้นจาก Hikifune เลย +ค่าเดินทางอีก 150 เยน เพราะคนละสาย แต่ว่า รถไฟจาก Hikifune ไปถึง Oshiage แล้วมันเปลี่ยนสายเป็นสายที่ต้องขึ้นพอดี แปลว่าไม่ต้องย้ายขบวนรถ แล้วก็ได้ขึ้นรถทันคันเดิมที่วางแผนไว้
มีสิ่งที่ประทับใจมากอย่างนึง บนรถไฟใต้ดิน บางขบวน เขาจะมีจอบอกด้วยว่า ตอนนี้เราอยู่ตู้ที่เท่าไร แล้วเราจะออกไปเจอบันไดเลื่อน หรือลิฟท์ เลยอะไรอย่างงี้ แล้วบันไดเลื่อนที่เราจะออกเนี่ยมันทำให้เราเปลี่ยนขบวนที่ชานชาลาอื่นใกล้หรือปล่าว เราสามารถวางแผนได้ อันนี้เป็น Feature สุดยอดมาก
ถึง Ikebukuro ตอน 9.10 ตามเวลา เป๊ะ แต่ว่าเขานัดเจอกัน 9.20 เนี่ยสิ แต่เดินไกลมาก ดีที่มีคนพาเดิน ถึงแบบเป๊ะมากๆๆๆ ไปถึงที่ Life Safety Learing Center แล้วเขาให้รีบเอาของที่ติดตัวฝากเข้าล็อกเกอร์ เพราะเราต้องเผชิญภัยพิบัติต่างๆ ไปถึงยังไม่ทันนั่งพัก เริ่มเลย เริ่มที่ภัยพิบัติอย่างแรกไฟไหม้
เริ่มด้วยการแนะนำถังดับเพลิง และการใช้งานถังดับเพลิง เพื่อดับไฟ แล้วก็ตัวถังดับเพลิงนี้ เขาใช้สำหรับเรียนรู้เท่านั้น ของที่ใส่ข้างในเป็นน้ำเปล่า ไม่มีสารเคมี ที่ตัวถังเขียนว่า トレーナー (Trainer) ใช้สำหรับการเทรนใช้งานเท่านั้น
มีวิธีการใช้งานอย่างง่ายๆด้วย
แล้วก็ได้ลองใช้งานจริงๆแล้ว ตามขั้นตอน
  1. ตะโกนว่า 火事だ (Kaji da) แปลว่า “ไฟไหม้” เพื่อให้คนอื่นรู้
  2. ปลดสลักเครื่องดับเพลิง
  3. ดึงสายฉีดออกมาถือ
  4. ยิงน้ำจนไฟดับ
หรือจะชมเป็นคลิป จากอาจารย์โปรดปราน : https://www.facebook.com/proadpran/…
ชาวญี่ปุ่นเขาจะมีหนังสือเล่มเหลืองๆนี้ประจำบ้านทุกบ้าน หนังสือเล่มนี้จะเป็นการสอนเกี่ยวกับ การรับมือภัยพิบัติต่างๆ แล้วก็การเอาตัวรอดต่างๆ เหมือนเป็นหนังสือสามัญประจำบ้าน นอกจากนี้มีเวอร์ชันภาษาอังกฤษให้กับชาวต่างชาติที่มาอยู่อาศัยในญี่ปุ่นด้วยนะ แต่ว่าที่นี่เขาไม่มีแจก
ถ้าพูดถึงไฟไหม้ ก็ต้องรู้จักการเอาตัวรอดจากควันด้วย ที่นี่เขาสมมติว่า เราอยู่ในตึกแล้วเกิดไฟไหม้ เราจะเอาตัวรอดออกจากตึก ไปทางหนีไฟยังไง วิธีก็คือต้องหาป้ายทางออกให้เจอ แล้วไปตามป้ายทางออก แล้วปกติคนจะตายเนี่ยเกิดจากควัน ซึ่งมันมีอันตรายอยู่ ดังนั้นเราต้องทำตัวให้ต่ำที่สุด ทางที่ดีก็คลานไปกับพื้นเลย แต่วันนี้เขาให้เดินย่องๆได้ แต่ว่าห้ามยื่นตัวสูงเกิน เขาจะมี sensor อยู่ จะมีเสียงดังถ้าเราทำตัวสูงเกิน แล้วก็ในสนามจำลองนี้ เขาได้ทำให้มีควันจริงๆ ควันมันจะทำลายทัศนวิสัย ให้มองเห็นไม่ชัด ดังนั้นการจะทดลองให้เหมือนจริง ก็ต้องมีควันด้วย วันนี้เขาใช้ควันที่ใช้ในการแสดง มาปล่อยให้เราลองกัน ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
การ escape ที่เขาสอนเนี่ย ทำเป็นทีม คนเดินนำ ให้นำจำนวนคนที่เดินมาด้วยกันก่อน และคนสุดท้ายทำหน้าที่ปิดประตู เพราะว่า การปิดประตูเป็นการป้องกันควัน และไฟ ลามไปยังห้องอื่นๆ
นอกจากนี้แล้วที่ญี่ปุ่นจะมีถุงที่เอาไว้คลุมหัว ที่เราโบกเพื่อบรรจุอากาศบริสุทธิ์เข้าไป แล้วครอบหัวไว้ เราจะมีอากาศหายใจ และก็จะเดินได้สูงกว่าปกตินิดนึง และตัวถุงนี้เป็นถุงพิเศษสามารถกันได้ถึงความร้อน 150 องศา
ต่อมาก็เรียนรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว เขาก็มีคลิปวีดีโอแนะนำว่า แผ่นดินไหวเกิดมายังไง ซึ่งสามารถหาเรียนรู้ได้ตามหนังสือทั่วไป แล้วก็ให้เราลองไปอยู่ในสถานการณ์แผ่นดินไหวจริง เราจะต้องไปอยู่ใต้โต๊ะ แล้วเกาะขาโต๊ะเอาไว้ เขามีให้ลอง แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ความรุนแรงระดับ 7 (ความรุนแรงวัดจากความรู้สึก แต่ไม่ใช่ค่าเดียวกับ magnitude ที่หน่วยเป็น ริกเตอร์) เอาเป็นว่า มันรุนแรงมากๆ
นอกจากนี้เขาให้ลองด้วยว่าบรรยากาศของแผ่นดินไหว ถ้าเราอยู่ในตึกสูง จะเป็นยังไง แบบตึกจะดูงอได้เลยหละ หลังจากนี้ เขาก็พาไปดูวีดีโอที่บันทึกภัยพิบัติของญี่ปุ่นที่เคยเกิดมา ทั้งแผ่นดินไหว Tsunami น้ำท่วม แต่ไม่สามารถถ่ายอะไรออกมาได้นะครับ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปหมู่กันสักนิดครับ

รูปหมู่
หลังจากนี้ก็เวลาเที่ยง เขาจะพาไป Shibuya ต่อแล้วพาไปดู Hachiko รูปปั้นหมาน้อยที่เป็นที่นัดพบตอน 14.20 น. แต่ว่า เนื่องจากเราเคยไปกันมาแล้วที่ Shibuya เลยขอแยกมาเดินที่ Ikebukuro แทน แล้วก็ต้องเดินทางโดย Yamanote Line ไป Ikebukuro ให้ทันเวลา เรานัดเจอกันที่หน้าสถานี ตรงห้าง Seibu (เดี๋ยวจะกลับมาห้างนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อ)

Ikebukuro
พี่พัชชา บอกว่าป้อมตำรวจที่นี่ เป็นเอกลักษณ์มาก เพราะมันเป็นรูปนกฮูก

ป้อมตำรวจ
ก็แวะไปหาของกินมื้อเที่ยง ก็เข้าร้าน 牛丼 (Gyuudon) ข้าวหน้าเนื้อแถวนั้น กินข้าวหน้าเนื้ออีกแล้ว ปกติไม่ค่อยกินเนื้อสักเท่าไร แต่มาที่นี่นี่ กินเนื้อบ่อยมาก และอร่อย
ต่อมาก็ไปที่ Shibuya เพื่อไปดู Waste Management Center หลายคนอาจสงสัยว่า กลางเมืองขนาดนี้มี Waste Management Center หรือเตาเผาขยะด้วยเหรอ ตอบว่ามี แต่ไกลจากห้าแยกชิบูย่าพอสมควร แต่เป็นเตาขนาด มินิ กำจัดขยะจำนวนไม่เยอะมาก ที่ญี่ปุ่นเขาต้องกำจัดขยะด้วยการเผา เพราะว่าเขาไม่มีพื้นที่พอที่จะมาทำเป็น Land fill และการเผาขยะนี้เนี่ย มันจำเป็นต้องมีการแยกขยะ โดยการแยกขยะของญี่ปุ่น จะแยกกันออกเป็น ขยะเผาได้ กับขยะเผาไม่ได้ แล้วก็พวกขยะรีไซเคิล เช่น ขวด และกระป๋อง (ที่นี่เขามองว่า กระดาษเป็นขยะเผาได้ ไม่ใช่ขยะที่เอาไปรีไซเคิลนะ) ขยะเผาได้ ก็จะเอามาเผาเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าด้วย ขยะเผาไม่ได้ก็จะเอาไปผ่านกระบวนการอื่นๆ อันตรายจากการทิ้งขยะผิดประเภท ทำให้มันเผาได้หมด เช่นไม้แขวนเสื้อ กระทะ อะไรอย่างงี้ มันจะเป็นเศษค้างในเตาเผา
แต่ว่า ทำไมไทยไม่มาเผาขยะเพื่อเอาพลังงานบ้างหละ … เพราะว่าเมืองไทยเราไม่เคยมีการแยกขยะอย่างจริงๆจังๆ การเอาขยะที่มีทุกประเภทอยู่ข้างในนี้เนี่ยเอาไปเผานี่อันตรายมาก ลองคิดภาพถ้าหากว่าเรามี ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ทิ้งอยู่ในถังขยะ ถ้าเอาไปเผา จะเกิดอะไรขึ้น .. คิดเอาเองแล้วกัน … แต่ที่จริงแล้วเนี่ยที่ไทยมีการเผาขยะอยู่นะ แต่มีขยะประเภทเดียวที่ต้องเอามาเผา นั่นคือ ขยะติดเชื้อ หรือขยะจากโรงพยาบาลนั่นเอง แต่ว่าขี้เถ้าหรือเศษอะไรต่างๆ ก็เอาไปทิ้งที่ Landfill อยู่ดี
ใน Waste Management Center เขาให้ถ่ายรูปได้ แต่ว่า ไม่สามารถ publish รูปเหล่านั้นออกไปข้างนอกได้ ดังนั้นจึงเอามาให้ดูได้แต่รูปที่อยู่ภายนอก รูปซ้ายบนเขาจะแสดงถึง มลพิษที่เกิดจากเตาเผาขยะนี้ เพื่อให้ประชาชนโดยรอบได้รู้กัน ที่นี่ดูเด็กภาคเคมีจะสนุกดี เพราะว่าดูเหมือนเขาจะคุยกันรู้เรื่อง แต่เรามะเข้าใจ
จะว่าไปยังไม่ได้เอาตู้ขายน้ำให้ดูเลย ที่นี่ส่วนใหญ่จะวางขวด 3 ชั้น 2 ชั้นบนเป็นน้ำเย็น ชั้นล่างเป็นน้ำอุ่น ไม่รู้ว่ากลไกอะไรทำให้ทำแบบนี้ แล้วมันทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นไหมไม่รู้แบบ ดูดอันนึงไปคายอีกอัน อันนี้ไม่รู้จริงๆ

Vending Machine
ต่อมาเนื่องจากเพื่อนของเพื่อนได้จองร้าน Midori Sushi เอาไว้ตอนประมาณ 1 ทุ่ม ซึ่งถ้าถึงคิวแล้ว จะต้องอยู่ครบจำนวนที่จองไว้ ไม่งั้นก็จะไม่ได้เข้าไปกินนะ ดังนั้นเราต้องไปรอแถวร้านก่อน แต่ก่อนหน้านั้นก็มีเวลาพอสำหรับการเดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็มาเจอกันที่ รูปปั้น Hachiko
ร้านนี้พี่พัชชาแนะนำ และอาจารย์ไปกินแล้วก็บอกอร่อยมากๆๆๆๆ ยังไม่เคยไปลองเลย ไว้ไปคราวหน้าเดี๋ยวไปลอง ร้าน 牛かつ (Gyuukatsu) คัตสึเนื้อวัว

Gyuukatsu
แก้ตัว รูป 5 แยกชิบูย่า รูปเก่ามันไม่ชัด ตรงข้างหน้านี้มี Starbucks ที่เป็นสาขายอดนิยม เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะไปนั่งกินแล้วก็มาถ่ายรูป 5 แยกกัน ซอยขวามือนั่ง ถ้าเดินย้อนกลับไปแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอร้าน Disney แล้วก็มี Onitsuka อยู่ตรงข้าม (สาขานี้เคยเจอพนักงานคนไทยด้วย – คนไทยไปซื้อเยอะมาก เข้ากี่ทีก็เจอแต่คนไทย) เดินต่ออีกนิดก็จะเจอตึก Muji แล้วก็ต่อๆไปอีกก็มี Loft และอื่นๆอีกเยอะแยะเลยจำไม่ได้ละ เหล่านี้คือหลักๆที่จำได้ ที่แยกนี้มันจะต่างจากไทยตรงที่ คนจะข้ามได้ตอนที่ ทุกแยกเป็นไฟแดงหมด คนจะเดินเฉียงๆได้เลย โหดมาก

แยกชิบูย่า
ต่อไปก็ได้เวลาไปร้าน Midori Sushi แล้ว ร้านอยู่ชั้น 4 มั้ง แถวๆ Hachiko / สถานี Metro แหละมั้ง จำไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไร แล้วก็คนรอคิวเยอะมาก จนต้องไปบอกเขาว่า 11 คน แยกโต๊ะได้ ไม่งั้นไม่ได้กินแน่เลย

Midori Sushi

Menu
วันนี้สั่งเซต 2000 เยน เขาก็เริ่มจัดเสริฟมาเริ่มจาก สลัดมันปูมั้ง กับไข่ตุ๋น แล้วก็ชาร้อน อร่อยมากๆ แล้วเนื่องจากเรานั่งที่ Counter เชฟเลยค่อยๆปั้นให้ทีละคำเลย (แต่ว่าเขามีป้ายบอกอยู่ว่า ถ้าหากว่ามีคนรอเยอะ เขาจะเสริฟแบบครบเซตทีเดียวเลยไม่ทำให้ทีละคำ) แล้วก็มีซุปตามมา ขอบรรยายโดยรูปแล้วกัน เพราะเรียกชื่อปลาไม่ถูก
นับเป็นซูชิที่ฟินมากจริงๆ ถูกกว่าไทยเยอะมากๆ หลังจากนี้เราก็แวะไปซื้อ 3 day pass ที่ Bic Camera ราคา 1500 เยน เพื่อเตรียมใช้ 3 วันสุดท้าย เพราะว่าน่าจะเดินทางกันเยอะอยู่ นี่คือรูปบัตรทั้งหมดที่เคยซื้อเอาไว้ ตัวบัตร 3 day pass คือขวาล่าง สามารถใช้ได้กับใต้ดินสาย Metro กับ Toei ราคา 1500 เยนเป็นราคาสำหรับนักท่องเที่ยว ใช้พาสปอร์ตประกอบการซื้อด้วย
หลังจากนี้ก็กลับบ้านกัน เพราะว่า วันพรุ่งนี้จะต้อง Present ตัว Final Proposal ของวิชานี้ จะต้องเตรียม Presentation กันทุกทีม แล้วก็ต้องคุยกับทางฝั่งญี่ปุ่นกันด้วยหละ แต่ว่าด้วยความที่ ทีม Disaster เตรียมเสร็จตั้งแต่คืนก่อนแล้ว เย่ เลยไปเดินต่อ ก็พี่พัชชาพาไปกิน Cremia ครั้งแรก อร่อยมากๆ ราคา 500 เยน (ถูกสุดที่กินมา)

Cremia
ลองเดินไปร้าน Don Quijote สาขาชิบูย่า อยู่แถวๆตรงข้าม H&M วิธีเดิน ก็จาก 5 แยกมันจะมีป้ายนำทางไป H&M ก็ไปทางนั้นแหละ เขาก็ขายหลายอย่างมาก รวมถึง … สิ่งที่คุณก็รู้ว่าอะไร แต่ผมก็ได้ขนม ปากกา ดินสอ และอะไรมาเยอะแยะเลย แต่ว่าด้วยความ อยากรีบเดินรีบกลับบ้านไปเตรียม Presentation เลยไม่ได้ถ่ายรูปเลยสักรูป – – ”

Leave a Reply