Monthly Archives: May 2016

  • 0

GATI2015 Part 10 : Summary

Category : GATI2015

เดินทางมาถึง Part 10 แล้วเป็นการเล่าถึงบทสรุปของวิชา Global Awareness for Technology Implementation (GATI) รุ่นทดลอง รุ่นแรก ในมุมมองของผมเอง
เริ่มแรกที่ตัดสินใจลงเรียนวิชานี้ เริ่มจาก อาจารย์โปรดปรานโฆษณาวิชาเรียนนี้ วันที่อาจารย์นัดติวสอบ Final วิชา Database ตอน ปี 3 เทอม 2 อาจารย์เล่า Overview ของวิชาเรียนแล้ว น่าสนใจมากๆ แล้วพออาจารย์ประกาศรับสมัครนิสิตเข้าเรียน โดยให้ส่ง Essay ไปหาอาจารย์ เนื่องจากปีนี้ วิชานี้ co กับญี่ปุ่นด้วย และด้วยความที่สนใจในตัวประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว ก็ไม่ลังเลที่จะเอาเวลาว่างจากการฝึกงานมาเขียนส่ง นี่คือส่วนหนึ่งของ Essay ที่เขียนส่งอาจารย์
The reason I wish to enroll in the global awareness for technology implementation is the interest in everything about Japan. I will get the knowledge of a cross culture among Thai and Japan from this course. Moreover, I will gain experience to communicate and conduct a project with Japanese friends. This subject would make me an open minded person who will aware of implementing technology to the right person in the right place. In addition, the joint course with Japanese friends would be a good chance to discuss how to implement a technology which can adapt to both Thai and Japan.
ใจความหลักๆคืออยากเรียนรู้ cross culture ในแต่ละประเด็น เพราะว่าจาก 3 ประเด็นที่เป็นประเด็นในวิชานี้ ในปีนี้ เป็นสิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นทำได้ดีอยู่แล้วในหลายๆอย่าง โดยเฉพาะการคมนาคมขนส่ง อยากเรียนรู้ว่าเขาทำยังไงให้มันดีขนาดนี้ แล้วทำไมไทยเราจะทำแบบนั้นไม่ได้เชียวเหรอ และเป็นวิชาที่ทำให้เราเป็นคนเปิดรับในความแตกต่าง และเรียนรู้จากความแตกต่างนั้นแล้ว adapt ให้เข้ากับตัวเรา นอกจากความแตกต่างในสังคมแล้ว ยังจะได้เรียนรู้ความแตกต่างของ ความคิด ในนักเรียนแต่ละชาติด้วย
ในระหว่างที่เรียนอยู่เนี่ยก็ได้ไปเปิดหูเปิดตา ตามหัวข้อในแต่ละสัปดาห์ ก็เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง จากการที่ได้ไปเห็นของจริง ได้ไปสัมผัสของจริง ได้ไปดม Landfill จริงๆแล้ว ก็ได้ข้อคิดว่า ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วหละ ซึ่งแต่ละสัปดาห์ที่ได้ไปดูงาน หรือได้เรียนรู้ ได้คุยกับเพื่อนๆนักเรียนญี่ปุ่น ก็ทำให้รู้หลายสิ่งเพิ่มมากขึ้น แล้วก็ทำให้ awareness เพิ่มมากขึ้นด้วยหละ
หลังจากเรียนจบ ใน Personal Essay เกี่ยวกับประเด็นที่ทำ (Disaster Management) ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิม คือควรมีการเพิ่ม awareness ของทุกๆคน นี่คือส่วนหนึ่งของ Essay ที่ส่งไป
One more thing, which is the most important thing is to learn from the past, and learn from our friend. We should have lesson learned from the past disaster, and adapt the lesson learned to one’s self. Moreover the situations of the other people or the other country are the things we also have to learn. This “Global awareness for technology implementation” course is a very good step to raise awareness of ourselves. We should make contributions of the lessons to the others. It may work or not we do not know. But the best thing we can do is to give knowledge and raise their awareness.
แต่จุดยากคือ จะทำยังไงที่จะเพิ่ม awareness ของคนได้ ? หรือว่าจากประสบการณ์ที่ไปดูงานมา ควรให้ทุกคนไปดูงานแบบนี้ ให้ทุกคนลองไปดู Landfill จริงๆดีไหม ? หรือทำเป็นคลิปเผยแพร่ ? หรือว่าจะทำไม่ได้ ? อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ลองทำเท่าที่ทำได้กันไป
ตอนที่ได้รู้ว่าทุกคนได้ไปดูงานที่ญี่ปุ่นด้วยกันหมดนี่ก็ ดีใจมากๆ เพราะเป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรก จะได้ลองไปสัมผัสการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น แล้วก็ได้ไปดูงานอะไรเจ๋งๆที่ญี่ปุ่นอีกเยอะแยะเลย ดีใจมากๆ ทีแรกไม่คิดว่าจะได้ไปกันหมด
นอกจากนี้การเรียนวิชานี้ มีนักเรียนแค่ 8 คน ก็ทำให้เรารู้จักเพื่อนๆมากขึ้นด้วย ทั้งเพื่อนในภาค เพื่อนต่างภาค การเรียนกันอยู่แบบกลุ่มเล็กๆแบบนี้ ก็สนุกไปอีกแบบ ยังไม่เคยเรียนกลุ่มเล็กขนาดนี้เลย (ยกเว้นเรียนภาษา) เป็นประสบการณ์ที่ดีไปอีกแบบ คุยสนุก เล่นสนุก แกล้งสนุกด้วย ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ทำให้การเรียนวิชานี้ไม่น่าเบื่อเลย
จากการไปลองใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ก็ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ว่าโลกนี้อยู่ยาก การเดินทางโดยรถไฟก็ยาก ขึ้นผิดแล้วผิดอีก วิ่งไม่ทันรถออก รถเต็ม อะไรเต็มไปหมด หลังเที่ยงคืนนี่เดินทางไม่ได้เลย กินข้าวก็แพง ทำกับข้าวเองก็ไม่เป็น เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างเลยในชีวิต นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ขอบคุณทุกคนรวมถึงอาจารย์ด้วยที่ร่วมผจญภัยในแดนอาทิตย์อุทัยไปด้วยกัน
สุดท้ายนี้ถ้าให้คะแนนวิชานี้ ก็ขอให้ไว้ที่ 2147483647 เลยแล้วกัน (เกินกว่านี้ต้องใช้ unsigned int หรือ long long เก็บแล้ว … เขียนมาตั้งเยอะขอมุกภาคคอมนิดนึง) อินมากกับทั้งเนื้อหา ทั้งการสร้าง awareness และการไปดูงาน และไปเที่ยว ไม่งั้นคงไม่มานั่งเสียเวลามาเขียนบทความถึง 10 ตอนแบบนี้หรอกครับ นับว่าเป็นวิชาที่คุ้มกับ 3 หน่วยกิตมากๆ วิชานึงเลยครับ หวังว่าทุกคนคงสนุกไปกับการอ่านเรื่องราวที่บันทึกไว้นี้ ^ ^
– จบบริบูรณ์ –
Sanchai Jaktheerangkoon

  • 0

GATI2015 Part 9 : Trip Day 8 – The last day – NRT to DMK

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : Shopping เก็บตก / การเดินทางไปสู่สนามบินนะริตะ / การเดินทางกลับกรุงเทพ –> สนใจโปรดคลิกเข้ามาอ่านครับ

วันนี้เป็นวันที่ต้องทำเวลาเป็นอย่างมาก เพราะว่ามีเวลาน้อย และต้องเดินทางไปสู่สนามบินให้ทันเวลาด้วยเดี๋ยวจะตกเครื่อง เพราะว่าถ้าพลาดรถไฟ 1 ขบวนคือการรอ เกือบชั่วโมงเลยนะ ดังนั้นวันนี้แผนการหลักคือการเดินทางสู่สนามบินนะริตะ เลยรีบวางแผนก่อนเลย
วันนี้ลองใช้อย่างอื่นบ้าง เปลี่ยนจาก Hyperdia เป็นลองใช้ Google Map บ้าง ตามที่แนะนำไปตอนแรกว่ามันใช้ได้เหมือนกัน แผนวางโดย Google Map เนื่องจากของเราค่อนข้างเยอะ เลยคิดว่าคงนั่งจาก Hikifune ไปเลย ไม่ไปขึ้นจาก Oshiage แล้ว
ส่วนรถไฟสายหลักที่ต้องเดินทางคือ Narita Skyaccess จาก Oshiage เลยต้องมีแผนสำรองสำหรับสายนี้เยอะๆ คือ 3 อันบน แพลนแรกคือมาให้ทันรอบ 15.41 ถ้าไม่ทัน ก็ 16.34 เลทสุด เพราะ 16.34 จะไปถึงปลายทางเวลา 17.36 Boarding Time 1 ทุ่ม เพราะเราต้องไปต่อคิวโหลดกระเป๋า กินข้าว ซื้อของอะไรกันอีก
แผนการเดินทางเข้าสนามบินก็เป็นตามนั้น ต่อมาเป็นการเดินทางวันนี้กัน วันนี้การเดินทางแยกทางกันทุกคนเพราะทุกคนมีสิ่งที่จะเก็บตกต่างกัน เลยนัดเจอกันที่สนามบินเลยทีเดียว และวันนี้เจ้าของบ้านบอกให้ Check out เวลา 10.00 น. เราเลยต้องออกประมาณนั้น แต่ว่าเราก็แอบฝากกระเป๋าอะไรไว้ในบ้านก่อนมาเอาตอนเย็น เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าของบ้านเขาใจดีมากเลย วันนี้ดูเร่งรีบ จำรายละเอียดอะไรไม่ค่อยได้เท่าไร จำได้แค่ว่า ตอนออกมาแล้วเนี่ย พบว่า ลืมพาสปอร์ตไว้ในบ้าน ต้องเดินกลับไปเอา แล้วเดินทางช้ากว่าคนอื่น และต้องไปคนเดียว (เอาพาสปอร์ตไปทำไม ก็เอาไปเผื่อ Vat refund)
นี่คือปากซอยออกจากบ้านมาปั๊บ เจอ Skytree เลย
ที่แรกที่ไปก็ที่ Shibuya วันนี้ถ่ายรูปแก้ตัวอีกแล้ว
ถึง Shibuya ก็รีบวิ่งตรงไปที่ shop Onitsuka ดูรองเท้าที่เล็งไว้ ก็เล็ง Nippon Made เอาไว้ วันนี้แหละเจอพนักงานพูดภาษาไทย คุยง่ายหน่อย ก็เล็งไว้คือ ลายเขียว กับลายดำ ที่จะซื้อให้ตัวเอง แต่ลายดำไม่มีไซส์ เลยไม่เสียเวลาลังเล รีบซื้อรีบไปต่อ คือที่นี่ ซื้อเกิน 10,000 เยนก็จะไม่เสียภาษี และก็ทุกคู่ได้ลด 5% ด้วย
ที่หมายต่อไปก็ Ikebukuro ไปเดินดูหนังสือต่อจากเมื่อวานที่ได้เดินอยู่ 5 นาที วันนี้ได้หนังสือ ข้อสอบ N3 กับ N2 กลับบ้าน เอาไว้เตรียมสอบ เย่ แล้วไปที่อื่นต่อ ไปที่ Ueno
วันนี้ไป Takeya อีกแล้ว แต่ว่า หลงทางนิดหน่อย เลยช้าไปอีก ก็เลยเจอร้านช้า แล้วก็เข้าไปดู คนเยอะมาก เลยตัดสินใจออกแล้วกลับเลย ไม่ได้เดิน 555 จริงๆคือกลัวไปไม่ทันรถไฟเข้านาริตะ เพราะว่า จาก Takeya จะขึ้นรถไฟกลับบ้านเนี่ยมันก็ค่อนข้างเดินไกล จากประสบการณ์มา Ueno คราวก่อนบอกไว้
ทุกคนรีบไปกันหมดแล้ว เหลือนพ ที่กลับเวลาใกล้ๆกัน เลยให้นพรอไปด้วยกัน เย่ ไม่ต้องผจญภัยคนเดียวแล้ว รีบกลับบ้านไปเอาของแล้วไปสถานี Hikifune แล้วก็เสียเวลาถามเขาอยู่นานซื้อตั๋วยังไง เพราะนพคืน pasmo ไปแล้วจะได้เงินคืน ซื่งผมไม่ได้คืนบัตร อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก เลยใช้บัตร suica แตะเข้าไปเลยง่ายหน่อยไม่ต้องคิดว่าต้องซื้อเท่าไร
พอถึงชานชาลา ก็พบว่า มีเสียงเตือนว่า ประตูกำลังจะปิด ก็โดดขึ้นเลย อันนี้นาทีระทึกมาก เพราะถ้าไม่ทันขบวนนี้นี่ ยากเลยที่จะไปทัน ต้องเสี่ยง สรุปเขาเปิดรับอีกที โชคดีมากๆๆๆๆๆๆ ก็นั่งยาวถึงสนามบินเลย เย่ตามแผน ถึงสนามบินเวลา 17.36 ตามวางแผนไว้ ก็รีบไปโหลดกระเป๋า Counter ของ Air Asia X มันแยกจากปกติออกมาเป็นที่พิเศษ เป็นห้องแยกเลย exclusive มาก คนไทยเยอะมาก
พอเอาของไปชั่งแล้ว น้ำหนักเกิน 21 กว่าๆ เกินมา 1 กิโล เขาใจดีมากไม่ปรับ บอกให้เอาอะไรออกมาถือ เราก็เอาหนังสือที่ซื้อมา ออกมาสะพายไว้ในเป้ ก็ได้ 20.5 เขายอมรับได้ เลยผ่านไป
ต่อจากนั้นก็เดินดูของ กับกินข้าว ก็กินแบบ เล็กๆน้อยๆ 7-eleven อีกแล้ว แล้วก็เจอร้าน Pokemon เลยได้ของฝากให้ตัวเองอีกชิ้น
แล้วก็เข้าไปชื้อ Royce กับขนมอื่นๆใน Duty Free แล้วก็รอขึ้นเครื่อง คนเยอะมาก เรานั่งแถวเกือบหลังสุดเหมือนเดิม ถึงดอนเมืองเวลา ตี 1 เจอ ตม. แถวคนไทย คนเยอะมากๆ รอเกือบชั่วโมง คนเยอะมากจริงๆ ออกมาก็เกือบตี 2 แยกย้ายกลับบ้านกัน
ตอนต่อไป เป็นบทสรุปเกี่ยวกับวิชา GATI นี้ เชิญติดตามกันนะครับ

  • 0

GATI2015 Part 8 : Trip Day 7 – Free Day in Tokyo

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : Asakusa / Sensoji / Ueno / Akihabara / Ikebukuro / Kaiten Sushi (ซูชิสายพาน) –> สนใจโปรดคลิกเข้ามาอ่านครับ

วันนี้เป็น Free Day ก็แล้วแต่แต่ละครอยากจะไปเที่ยวไหนกัน แผนที่วางไว้ของผมสำหรับวันนี้เป็นดังนี้
  1. ตั้งแต่ตื่น ก็ไปเริ่มที่ วัด Sensoji แล้วก็เดินเล่นแถว Asakusa
  2. ต่อจากนั้นก็ไป Ueno เดิน ตลาด Ameyoko แล้วก็ตึกม่วง
  3. ต่อจากนั้นก็ไป Akihabara เดินเล่น
  4. ต่อจากนั้นกลับบ้านมาเก็บของ ที่ซื้อมาทั้งวัน แล้วก็เอาของไปให้ เซนเซ ที่เคยสอนญี่ปุ่นที่ไทย ตอนนี้เขากลับญี่ปุ่นแล้ว ก็นัดเจอกับเซนเซ
  5. เดินทางไปจุดนัดพบให้ทัน 6 โมงเย็นที่ Ikebukuro
  6. กินข้าวกับเซนเซ
แผนที่ว่าจะเริ่มต้นที่ Asakusa เหมือนจะเริ่มต้นที่นี่ทุกคน เลยกะจะออกไปด้วยกัน แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นไปตามที่ฝัน … วันนี้เป็นวันที่ผมเลือกที่จะไม่ตั้งนาฬิกาปลุก กะว่า ตื่นเมื่อไรก็ออกเมื่อนั้น แล้วก็พอมาถึงตอนเช้า กี่โมงจำไม่ได้ เอมม่าตื่นอีกแล้ว ก็ปลุก … อีกแล้ว จริงๆตื่นแล้วหละ แต่มีคนนอนต่อ เลยนอนต่อด้วย สรุปแล้วตอนเช้า เอ็มม่าได้ออกไปกับแค่ ปลาดาวกับใบพลู แก๊ง 3 คน ออกไปแต่เช้าเลย ที่เหลือนอนต่อ … พอตื่น เกือบเที่ยง ก็ตื่นมาล้างหน้ากินข้าวแล้วเตรียมจะออก ตอนนี้มีตื่น 4 คน ผม เลนส์ นพ และพี่มะเหมี่ยว แต่ว่าพี่มะเหมี่ยวแยกเส้นทางไปทางอื่น … อาหารเช้าวันนี้ไม่เสียเงินเพราะเอาของเหลือจาก Farewell Party เมื่อคืนกลับบ้านมาอุ่นกิน แล้วก็ถือว่าเป็นอาหารเช้า + เที่ยงไปในมื้อเดียวเลย แล้วก็ออกไป Asakusa ตอนเกือบเที่ยง
สรุปแก๊งที่ไปด้วยกัน มี 3 คน ผม เลนส์ นพ เริ่มไปที่ Asakusa เดินทางโดยรถไฟที่คุ้นเคย คราวนี้เดินทางโดยเปิดแผนที่เอาเลย … ไหนๆมาถึงแล้ว ก็ ถ่ายรูปกันข้างหน้าซะหน่อย หน้า Kaminarimon
พอผ่านเข้า Kaminarimon แล้วก็จะเจอถนน Nakamise หรือถนนที่เขาขายของกัน เดินดูมีขนมแปลกๆ แล้วก็ของแปลกๆขายด้วย แล้วที่นี่เขาห้ามเดินกิน เพราะฉะนั้นถ้าซื้อขนมจากร้านไหนแล้ว ก็ต้องยืนกินกันบริเวณร้านให้หมดก่อนแล้วค่อยเดินต่อ
แล้วก็เจอ Cremia อีกแล้ว เพื่อนยังไม่เคยกิน ก็เลยซื้อมากินด้วย ที่นี่ 550 เยนเหมือนกัน
เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอทางเข้า Sensoji ก็เข้าไปเดินเล่นข้างในซะหน่อย
ต่อจากนี้ก็นั่งรถไฟไปลง Ueno เดินเล่น ตลาด Ameyoko ทางเข้าอยู่ตรงแถวๆ ทางออกจากรถไฟเลย เดินข้ามถนนมาก็เจอเลย เดินๆไป ผมแยกทางกับเพื่อนๆตรงนี้แหละ เพราะมันบ่ายมากแล้ว กลัวไปไม่ทันนัดเซนเซ ก็แยกย้ายกัน ตอนนี้เหลือผมคนเดียวแล้วนะ เดินไปสุดตลาด Ameyoko เลี้ยวขวา ก็จะเจอ ตึกม่วง หรือ Takeya แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ก็ได้ขนมมาเยอะแยะอีกแล้วๆ แต่ลืมถ่ายรูปมา อดเห็นกันเลย เลยเอาส่วนหนึ่งของแผ่นพับให้ดูก่อน
หลังจากตรงนี้ก็นั่งรถไฟไป Akihabara แต่ทางใต้ดินนี่เดินไกลอยู่นะ สถานีมัน งงๆ อยู่ พอถึง Akihabara ก็เจอกับ แจ๊บ อีกแล้ว แจ๊บฝากกันดั้มไปให้เพื่อน เนื่องจากไม่มีอะไรเจาะจงที่จะซื้อที่นี่เปนพิเศษ อยากลองมาเดินดูเฉยๆว่ามีไรมั่ง ก็เดินวนๆรอบนึง
แล้วก็แวะไปดูกันดั้มคาเฟ่ นิดนึง
แล้วก็ ฝนตกปรอยๆ เอ่อ ฝน… เลยรีบกลับไปเก็บของ เยอะมาก ก็พาแจ๊บไปเก็บของเป็นเพื่อนด้วย เพราะเดี๋ยวแจ๊บจะไปกินข้าวกับเซนเซด้วย เพราะเคยเรียนกับเซนเซมาเหมือนกัน ก็ไปเก็บของแล้วรีบหยิบของที่จะฝากเซนเซออกมา แล้วก็ไปนั่งรถไฟไป Ikebukuro พอถึง Ikebukuro ก็เจอเซนเซ ซึ่งให้ไปหาที่ชั้นเท่าไรจำไม่ได้แล้ว ของ Seibu มีร้านซูชิอร่อยมาก
แต่ไม่ได้ถ่ายคิวมาให้ดู นั่งรอคิวอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง นั่งคุยเล่นรอนานมากๆๆๆ สุดท้ายก็ได้กิน 回転すし (Kaiten sushi) หรือซูชิสายพาน
ราคาก็ขึ้นอยู่กับสีจาน มีตั้งแต่ 100 เยน ถึง 500 เยน นอกจากนี้สามารถสั่งจากเครื่องได้ด้วย
แล้วที่สั่งไปเขามาส่งยังไงเหรอ นี่ไง รถด่วนพิเศษรางบน พอมาส่งแล้วจะมีเสียงเตือน พอเรารับของเสร็จแล้วก็กดปุ่ม ให้รถด่วนเขาเคลื่อนที่กลับไปเพื่อรับของส่งให้คนอื่นต่อ
นี่ถ้วยน้ำชา เป็นชื่อปลาประเภทต่างๆด้วย ความรู้จากเซนเซวันนี้ ที่ร้านซูชิ จะเรียก น้ำชาว่า あがり (Agari) อันนี้ไม่รู้ว่ามาจากคำสุภาพของดื่มหรือปล่าว 召し上がります (Meshiagarimasu) อันนี้ไม่รู้
แล้วก็เซนเซก็ถามว่า ビールを飲みますか。กินเบียร์ไหม 555 ก็ตอบไปว่าไม่กิน เซนเซเลยสั่งเบียร์มากิน 3 คน แต่ว่า กดผิด เป็นเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ เขาเลยเทให้กิน ก็ไหนๆไม่มีแอลกอฮอล์ ก็กินๆ รสชาติเหมือนเบียร์จริงๆเลย หลายคนคงสงสัยว่าทำไมไม่กินแอลกอฮอล์ จริงๆกินได้ และเคยกินมาทั้งนั้นหละ แต่ว่าด้วยปกติ ความดันค่อนข้างสูงกว่าปกติ เลยไม่กล้ากิน แต่นานๆทีก็ไม่เป็นไรมั้ง 555
แล้วก็เซนเซถามว่า 納豆を食べられますか。กินนัตโต้ได้ไหม ก็ตอบไปว่า 食べたことがないので、食べられるかどうかわかりません。ยังไม่เคยกินเลยไม่รู้ว่ากินได้ไหม 555 แจ๊บก็เช่นกัน เซนเซเลยสั่งมาให้ชิม บอกว่าเป็น チャレンジ (Challenge) คือมันก็เหนียวๆ รสสัมผัสไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไร แต่ก็พอกินได้
แล้วก็ตามธรรมเนียมถ่ายรูปกันหน่อย
เวลาเขาคิดเงิน เขาเอาเครื่องอะไรไม่รู้มาสแกนตัวจาน แล้วก็จะออกมาเป็นราคาเลย โหดจริงเทคโนโลยีที่นี่ ที่จานเขาเหมือนจะมีชิปอะไรอยู่ ราคาค่อนข้างแพงอยู่ แต่อร่อย หลังจากนั้นให้เซนเซพาไปร้านหนังสือ อยากไปดูหนังสืออยากได้ หนังสือข้อสอบวัดระดับไรงี้ ก็เดินไป แต่เหลือประมาณ 5 นาทีก่อนเขาปิด โชคดีมากที่ไปทัน ก็ได้เดินดูๆได้หนังสือมา 2 เล่ม (จริงๆพรุ่งนี้ก็แวะมาดูอีก) แล้วก็ไปเดินเล่น ดองกี้ กับแจ๊บต่ออีกนิดนึง แล้วก็กลับบ้าน กลับถึงบ้านทุกคนกลับมาหมดแล้ว ก็เตรียมตัววางแผนกันว่า วันต่อไปจะไปไหนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเก็บตกสิ่งที่อยากทำ เช่น ซื้อของฝาก หรือไปดูนั้นนี่ เป็นต้น แล้วก็วางแผนที่จะไปสนามบินกัน
ตอนต่อไปเกี่ยวกับ เก็บตกต่างๆ แล้วก็การเดินทางเข้าสนามบินนาริตะ แล้วก็การเดินทางกลับกรุงเทพ

  • 0

GATI2015 Part 7 : Trip Day 6 – Presentation

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : ระบบการจัดการน้ำ / Gate Bridge / Final Presentation / Farewell Party –> สนใจโปรดคลิกเข้ามาอ่านครับ

วันนี้ตื่นเช้ามากับการเดินทางที่สบายที่สุดในทริปนี้ คือการเดินทางโดยรสบัสที่เขาเช่ามา ออกจากบ้าน ขึ้นรถบัส แล้วทุกคนก็ นอนยาว จนถึงที่หมายเลยครับ … เพราะว่า เมื่อคืนทุกคนคงเตรียมการ present กันอย่างหนัก … จริงๆแล้วที่เราได้นั่งรถบัสเช่า เพราะว่าที่ที่เราจะไปเนี่ย รถไฟเข้าไม่ถึง (จริงๆคือถึงแต่ต้องเดินทางต่อยากพอสมควร)
ที่แรกที่จะไปดูงานในวันนี้คือ High Tide Management Center in Shinagawa หรือศูนย์ควบคุมน้ำของประเทศนั่นเอง เขาให้ดูการควบคุมการเปิดปิดประตูระบายน้ำของญี่ปุ่น เขาจะมีศูนย์ควบคุม มีจออยู่เยอะมาก พอๆกับที่ไปดูการควบคุมการจราจรเลย แต่ว่าที่นี่ การเปิดปิดประตูระบายน้ำเนี่ย จะต้องได้รับอนุญาตจากเบื้องบน ดังนั้นเขาเลยสาธิตเปิดปิดประตูระบายน้ำให้เราดูไม่ได้
จากนั้นได้ลองไปดูของจริงกัน ประตูมีการวาดรูป ทาสีให้ดูน่ารักด้วย
ต่อมาได้ไปดูที่ Gate Bridge ตรงนี้จำรายละเอียดไม่ได้แล้วจริงๆ จำได้แค่ว่าพอขึ้นไปบนสะพานแล้ว ลมเย็นมากๆ ตัวแทบปลิว iPad ถ้าไม่จับดีๆนี่ ปลิวอะ แล้วก็ต้อง Selfie กับสะพานนิดนึง โดย อ.มาโนช
วิวข้างบนสะพาน สวยมากๆ
ต่อจากนั้นก็ไปแวะกินข้าวที่ Diver City Tokyo Plaza ที่มี Landmark คือ กันดั้ม
ร้านอาหาร Food Court ที่นี่ก็คล้ายๆกับที่ไทย มีร้านหลายๆร้านให้เลือกสรร แต่ว่ามีความพิเศษตรงที่ เราซื้อข้าวจากร้านไหน เราต้องเอาถาด จาน ชาม ไปคืนที่ร้านนั้นตอนกินเสร็จด้วย วันนี้กินข้าวห่อไข่ชีส ประมาณพันเยนมั้งถ้าจำไม่ผิด
แต่ว่าเมนูที่นี่เป็นภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นชาวต่างชาติที่อ่านญี่ปุ่นไม่ออกอาจลำบากหน่อย เขาเลยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิต มีเมนูที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ มีภาษาไทยด้วย ภาษาไทย everywhere จริงๆเดี๋ยวนี้ๆ วิธีใช้งานเราก็ไปเลือกๆที่เครื่อง แล้วก็กดปรินท์ เอา slip ไปให้ที่ร้าน เขาจะเข้าใจเองว่าเราจะกินอะไรแล้วก็จ่ายตังเขา รอรับข้าว จบ ง่ายมากเลย
แล้วก็ที่นี่เจอ Cremia อีกแล้ว แต่ที่นี่ ราคา 550 เยน ก็รอช้าอยู่ทำไม จัดมากินซะเลย
ต่อมาก็กลับมาที่ Tokodai มีการฟังบรรยายเกี่ยวกับการเรียนต่อที่ Tokodai แล้วก็มีการแนะนำการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น แบบมาเป็นนักเรียนญี่ปุ่นยังไง ขอทุนจากที่ไหน แล้วชีวิตความเป็นอยู่ที่ที่เป็นยังไง จากนักเรียนไทยที่มาเรียนที่ Tokodai ซึ่ง session นี้ดำเนินไปเป็นภาษาไทย (ครั้งแรกที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) มีคนนึงที่มาแชร์ประสบการณ์ คนที่คุ้นเคย Janin Jap Kuwijitsuwan 555
หลังจากจบ session นี้ก็จะมีการคุยกันเกี่ยวกับ Internationalization of Chulalongkorn University ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้ายังติดลมกับ session ก่อนหน้าก็สามารถไปนั่งคุยกันต่อได้ ก็ไปนั่งคุยกันต่อที่ 7-eleven แล้วก็ไปเตรียมการ Presentation กันต่อ
แล้วก็ได้เห็นป้ายประกาศรับสมัครคนที่รับสมัครนักเรียนญี่ปุ่นมาดูงานที่ไทย (คล้ายๆกับครั้งนี้ที่เราไปดูงานญี่ปุ่น) ช่วงมีนาปีหน้า
ต่อไปเป็นการ Present Proposal ที่แต่ละกลุ่มทำเอาไว้ เป็นการ Final present (ที่เดิมมีการวางแผนไว้ว่าจะทำในคาบเรียน แล้วก็เป็นการ present ทางไกลผ่าน Polycom) แต่ว่าเนื่องจากมีการแวะมาเยี่ยมเยียนญี่ปุ่น หลังจากปิดเทอม อาจารย์เลยเลื่อนการ Present ออกไปให้ทำตอนมาญี่ปุ่น แบบมานั่ง present กันตัวเป็นๆกันแทน การ Present เป็นไปตามลำดับดังนี้ คือ
  1. Disaster Management ซึ่ง มี ฝ้าย ที่ต้อง Hangout มา Present เลยเตรียมการไว้ก่อนเป็นทีมแรก ตัวงานเกี่ยวข้องกับ การป้องกันน้ำท่วม ซึ่งเกี่ยวข้องกับ โครงการแก้มลิง อุโมงค์ยักษ์ และโครงการจัดการน้ำของญี่ปุ่น เป็นการลองเสนอมุมมอง แนวคิดใหม่ๆ เช่นการเชื่อมต่อระบบระบายน้ำต่างๆของไทยให้เกิดเป็นโครงข่ายแบบญี่ปุ่น เพราะว่ามันจะเพิ่มช่องทางในการระบายน้ำให้มากขึ้น
  2. Transportation ตัวงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาส่งเสริมให้คนใช้งานระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น ซึ่งจาก research พบว่าเหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่คนไม่มาใช้ระบบขนส่งสาธารณะก็คือ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการเดินทาง ดังนั้นจึงเสนอแนวทางที่จะเป็นแนวทางให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยในการเดินทางมากขึ้น โดยการประเมินการบริการ และให้รางวัลกับผู้บริการที่มีคะแนนประเมินสูงสุด เพราะว่าถ้ามีการประเมินและได้รางวัลมันน่าจะเป็นแรงจูงใจในการให้บริการ
  3. Waste Management ตัวงานเกี่ยวกับ Quiz ที่เป็นถังขยะที่มาตั้งแถวๆคณะ เป็นการให้ความรู้กับคนทั่วไปเกี่ยวกับ Waste Management ทำให้ผู้ร่วม Quiz เนี่ยเกิดความรู้ และมีการเฉลยคำตอบทาง Page : Global Awareness for Technology Implementation – GATI เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องให้กับทุกคนทั้งที่เล่น Quiz และไม่ได้เล่น Quiz และมีการประกาศรางวัลไปแล้วนะ อย่าลืมทำตามที่ในเพจเขาบอกนะ
มีสิ่งนึงที่ได้เห็นจากการ present คือนักเรียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถือ script อ่าน ในการ present ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากนักเรียนไทย ที่ถึงจะถือกระดาษก็เป็นแค่ short note เล็กๆ อันนี้คือสิ่งที่แปลกใจ แต่ไม่รู้ว่า มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาสำหหลังจากการ Present Proposal เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปรวมกันหน่อย
หลังจากนั้นก็มี Farewell Party ถ้าตามที่เราดูในการ์ตูนญี่ปุ่นที่เขามี party กัน ตอนเริ่มต้นเขาก็จะประมาณว่า แด่มิตรภาพของเรา คัมปาย ก่อนเริ่ม Party เราก็ต้อง คัมปาย กันสักรอบก่อนแล้วก็เดินกินข้าวอะไรกันรอบๆ มีพิซซ่า ซูชิ เกี๊ยวซ่า อาหารอื่นๆ ขนม เบียร์ น้ำ เต็มที่
ใน Party ก็ได้เดินคุยๆกับคนนู้นคนนี้ แล้วก็ได้ถ่ายรูปกับทีม Disaster Management แต่ขาดฝ้ายที่ไม่ได้มา
หลังจาก Farewell Party เขาก็มีคนถามกันว่า Where do you plan to go next? จากที่เรียนๆมาน่าจะเป็นธรรมดาที่คนญี่ปุ่นเขาจะไปต่อกัน ไปต่อจาก Party เรียกว่า 二次会 (Ni ji kai) ก็ไปเจอกันรอบ 2 ที่ต่อไปอะไรอย่างงี้ อาจารย์และพี่ๆเขาก็ไปกันต่อที่ ร้านแถวๆ Jiyuugaoka แต่ว่ามันค่อนข้างดึก ต้องรีบหน่อยเดี๋ยวรถไฟจะหมด อันนี้ Chula Engineering in Tokyo
ประสบการณ์รถไฟขบวนสุดท้าย แบบโชคดีที่ขึ้นทัน ลงที่ Oshiage ปั๊บ เขาเริ่มปิดสถานีแล้ว แล้วก็ทางออกประจำ A3 ที่เดินง่าย ปิดไปแล้วด้วย เลยต้องออก B3 แทนเดินยากหน่อย เดินผิดทางด้วย 55
หลังจากถึงบ้านแล้วก็มี 三次会 (San ji kai) กันต่อที่บ้านอีก (ต่อรอบ 3) แต่ว่าเราต้องวางแผนวันพรุ่งนี้กันหนิ วันพรุ่งนี้เป็นวันว่าง 1 วันเต็มๆ ก็เดินทางกันตามหาความฝันของแต่ละคน อยากเที่ยวไหน ชอปปิ้งไหน ก็ไปกันเอง มะรืนนี้ก็ว่างครึ่งวัน ก่อนไปสนามบิน

  • 0

GATI2015 Part 6 : Trip Day 5 – Disaster Management – Waste Management – Shibuya

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : การเดินทางโดยรถไฟ (ภาคต่ออีกแล้ว) / การป้องกันตัวเองจากภัยพิบัติต่างๆ (ไฟไหม้ – แผ่นดินไหว) ที่ Ikebukuro / เดินเล่น Ikebukuro / ดูโรงงานเผาขยะ ที่ Shibuya / กินซูชิร้าน Midori Sushi / เดินเล่น Shibuya

วันนี้ตื่นเช้ามา ก็ต้องเดินทางอีกแล้ว วันนี้เดินทางไป Ikebukuro เพื่อไปเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติ แต่ว่าตั้งแต่เล่ามายังไม่ได้พูดถึงอาหารเช้าเลย เนื่องจากทุกวันต้องออกแต่เช้าจริงๆ อาารเช้าก็เลยต้องเตรียมตั้งแต่ตอนกลางคืน ซื้อ 7-eleven แช่ตู้เย็น แล้วเช้าเอาออกมาเข้า Microwave เอา การเดินทางวันนี้เป็นไปตามแผนนี้ นั่งจาก Oshiage แล้วไปเปลี่ยนรถที่ Otemachi แล้วต่อรถไปยัง Ikebukuro
วันนี้เดินทางน้อย ใช้ metro pass ไม่คุ้ม เลยยังไม่ตัดสินใจซื้อ pass เพราะเดินทางแค่ Oshiage -> Ikebukuro -> Shibuya -> Oshiage แค่นั้นเอง แล้วก็ Ikebukuro -> Shibuya ใช้ Yamanote Line ซึ่งเป็น JR ใช้ Pass ไม่ได้อีก ดังนั้นเลยยังไม่ใช้ pass ในวันนี้
แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นไปตามวางแผนอีกแล้ว เนื่องจาก หลังจากออกจากบ้าน คาดว่าจะเดินไปถึง Oshiage ไม่ทัน เลยต้องขึ้นจาก Hikifune เลย +ค่าเดินทางอีก 150 เยน เพราะคนละสาย แต่ว่า รถไฟจาก Hikifune ไปถึง Oshiage แล้วมันเปลี่ยนสายเป็นสายที่ต้องขึ้นพอดี แปลว่าไม่ต้องย้ายขบวนรถ แล้วก็ได้ขึ้นรถทันคันเดิมที่วางแผนไว้
มีสิ่งที่ประทับใจมากอย่างนึง บนรถไฟใต้ดิน บางขบวน เขาจะมีจอบอกด้วยว่า ตอนนี้เราอยู่ตู้ที่เท่าไร แล้วเราจะออกไปเจอบันไดเลื่อน หรือลิฟท์ เลยอะไรอย่างงี้ แล้วบันไดเลื่อนที่เราจะออกเนี่ยมันทำให้เราเปลี่ยนขบวนที่ชานชาลาอื่นใกล้หรือปล่าว เราสามารถวางแผนได้ อันนี้เป็น Feature สุดยอดมาก
ถึง Ikebukuro ตอน 9.10 ตามเวลา เป๊ะ แต่ว่าเขานัดเจอกัน 9.20 เนี่ยสิ แต่เดินไกลมาก ดีที่มีคนพาเดิน ถึงแบบเป๊ะมากๆๆๆ ไปถึงที่ Life Safety Learing Center แล้วเขาให้รีบเอาของที่ติดตัวฝากเข้าล็อกเกอร์ เพราะเราต้องเผชิญภัยพิบัติต่างๆ ไปถึงยังไม่ทันนั่งพัก เริ่มเลย เริ่มที่ภัยพิบัติอย่างแรกไฟไหม้
เริ่มด้วยการแนะนำถังดับเพลิง และการใช้งานถังดับเพลิง เพื่อดับไฟ แล้วก็ตัวถังดับเพลิงนี้ เขาใช้สำหรับเรียนรู้เท่านั้น ของที่ใส่ข้างในเป็นน้ำเปล่า ไม่มีสารเคมี ที่ตัวถังเขียนว่า トレーナー (Trainer) ใช้สำหรับการเทรนใช้งานเท่านั้น
มีวิธีการใช้งานอย่างง่ายๆด้วย
แล้วก็ได้ลองใช้งานจริงๆแล้ว ตามขั้นตอน
  1. ตะโกนว่า 火事だ (Kaji da) แปลว่า “ไฟไหม้” เพื่อให้คนอื่นรู้
  2. ปลดสลักเครื่องดับเพลิง
  3. ดึงสายฉีดออกมาถือ
  4. ยิงน้ำจนไฟดับ
หรือจะชมเป็นคลิป จากอาจารย์โปรดปราน : https://www.facebook.com/proadpran/…
ชาวญี่ปุ่นเขาจะมีหนังสือเล่มเหลืองๆนี้ประจำบ้านทุกบ้าน หนังสือเล่มนี้จะเป็นการสอนเกี่ยวกับ การรับมือภัยพิบัติต่างๆ แล้วก็การเอาตัวรอดต่างๆ เหมือนเป็นหนังสือสามัญประจำบ้าน นอกจากนี้มีเวอร์ชันภาษาอังกฤษให้กับชาวต่างชาติที่มาอยู่อาศัยในญี่ปุ่นด้วยนะ แต่ว่าที่นี่เขาไม่มีแจก
ถ้าพูดถึงไฟไหม้ ก็ต้องรู้จักการเอาตัวรอดจากควันด้วย ที่นี่เขาสมมติว่า เราอยู่ในตึกแล้วเกิดไฟไหม้ เราจะเอาตัวรอดออกจากตึก ไปทางหนีไฟยังไง วิธีก็คือต้องหาป้ายทางออกให้เจอ แล้วไปตามป้ายทางออก แล้วปกติคนจะตายเนี่ยเกิดจากควัน ซึ่งมันมีอันตรายอยู่ ดังนั้นเราต้องทำตัวให้ต่ำที่สุด ทางที่ดีก็คลานไปกับพื้นเลย แต่วันนี้เขาให้เดินย่องๆได้ แต่ว่าห้ามยื่นตัวสูงเกิน เขาจะมี sensor อยู่ จะมีเสียงดังถ้าเราทำตัวสูงเกิน แล้วก็ในสนามจำลองนี้ เขาได้ทำให้มีควันจริงๆ ควันมันจะทำลายทัศนวิสัย ให้มองเห็นไม่ชัด ดังนั้นการจะทดลองให้เหมือนจริง ก็ต้องมีควันด้วย วันนี้เขาใช้ควันที่ใช้ในการแสดง มาปล่อยให้เราลองกัน ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย
การ escape ที่เขาสอนเนี่ย ทำเป็นทีม คนเดินนำ ให้นำจำนวนคนที่เดินมาด้วยกันก่อน และคนสุดท้ายทำหน้าที่ปิดประตู เพราะว่า การปิดประตูเป็นการป้องกันควัน และไฟ ลามไปยังห้องอื่นๆ
นอกจากนี้แล้วที่ญี่ปุ่นจะมีถุงที่เอาไว้คลุมหัว ที่เราโบกเพื่อบรรจุอากาศบริสุทธิ์เข้าไป แล้วครอบหัวไว้ เราจะมีอากาศหายใจ และก็จะเดินได้สูงกว่าปกตินิดนึง และตัวถุงนี้เป็นถุงพิเศษสามารถกันได้ถึงความร้อน 150 องศา
ต่อมาก็เรียนรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว เขาก็มีคลิปวีดีโอแนะนำว่า แผ่นดินไหวเกิดมายังไง ซึ่งสามารถหาเรียนรู้ได้ตามหนังสือทั่วไป แล้วก็ให้เราลองไปอยู่ในสถานการณ์แผ่นดินไหวจริง เราจะต้องไปอยู่ใต้โต๊ะ แล้วเกาะขาโต๊ะเอาไว้ เขามีให้ลอง แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ความรุนแรงระดับ 7 (ความรุนแรงวัดจากความรู้สึก แต่ไม่ใช่ค่าเดียวกับ magnitude ที่หน่วยเป็น ริกเตอร์) เอาเป็นว่า มันรุนแรงมากๆ
นอกจากนี้เขาให้ลองด้วยว่าบรรยากาศของแผ่นดินไหว ถ้าเราอยู่ในตึกสูง จะเป็นยังไง แบบตึกจะดูงอได้เลยหละ หลังจากนี้ เขาก็พาไปดูวีดีโอที่บันทึกภัยพิบัติของญี่ปุ่นที่เคยเกิดมา ทั้งแผ่นดินไหว Tsunami น้ำท่วม แต่ไม่สามารถถ่ายอะไรออกมาได้นะครับ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปหมู่กันสักนิดครับ

รูปหมู่
หลังจากนี้ก็เวลาเที่ยง เขาจะพาไป Shibuya ต่อแล้วพาไปดู Hachiko รูปปั้นหมาน้อยที่เป็นที่นัดพบตอน 14.20 น. แต่ว่า เนื่องจากเราเคยไปกันมาแล้วที่ Shibuya เลยขอแยกมาเดินที่ Ikebukuro แทน แล้วก็ต้องเดินทางโดย Yamanote Line ไป Ikebukuro ให้ทันเวลา เรานัดเจอกันที่หน้าสถานี ตรงห้าง Seibu (เดี๋ยวจะกลับมาห้างนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อ)

Ikebukuro
พี่พัชชา บอกว่าป้อมตำรวจที่นี่ เป็นเอกลักษณ์มาก เพราะมันเป็นรูปนกฮูก

ป้อมตำรวจ
ก็แวะไปหาของกินมื้อเที่ยง ก็เข้าร้าน 牛丼 (Gyuudon) ข้าวหน้าเนื้อแถวนั้น กินข้าวหน้าเนื้ออีกแล้ว ปกติไม่ค่อยกินเนื้อสักเท่าไร แต่มาที่นี่นี่ กินเนื้อบ่อยมาก และอร่อย
ต่อมาก็ไปที่ Shibuya เพื่อไปดู Waste Management Center หลายคนอาจสงสัยว่า กลางเมืองขนาดนี้มี Waste Management Center หรือเตาเผาขยะด้วยเหรอ ตอบว่ามี แต่ไกลจากห้าแยกชิบูย่าพอสมควร แต่เป็นเตาขนาด มินิ กำจัดขยะจำนวนไม่เยอะมาก ที่ญี่ปุ่นเขาต้องกำจัดขยะด้วยการเผา เพราะว่าเขาไม่มีพื้นที่พอที่จะมาทำเป็น Land fill และการเผาขยะนี้เนี่ย มันจำเป็นต้องมีการแยกขยะ โดยการแยกขยะของญี่ปุ่น จะแยกกันออกเป็น ขยะเผาได้ กับขยะเผาไม่ได้ แล้วก็พวกขยะรีไซเคิล เช่น ขวด และกระป๋อง (ที่นี่เขามองว่า กระดาษเป็นขยะเผาได้ ไม่ใช่ขยะที่เอาไปรีไซเคิลนะ) ขยะเผาได้ ก็จะเอามาเผาเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าด้วย ขยะเผาไม่ได้ก็จะเอาไปผ่านกระบวนการอื่นๆ อันตรายจากการทิ้งขยะผิดประเภท ทำให้มันเผาได้หมด เช่นไม้แขวนเสื้อ กระทะ อะไรอย่างงี้ มันจะเป็นเศษค้างในเตาเผา
แต่ว่า ทำไมไทยไม่มาเผาขยะเพื่อเอาพลังงานบ้างหละ … เพราะว่าเมืองไทยเราไม่เคยมีการแยกขยะอย่างจริงๆจังๆ การเอาขยะที่มีทุกประเภทอยู่ข้างในนี้เนี่ยเอาไปเผานี่อันตรายมาก ลองคิดภาพถ้าหากว่าเรามี ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ทิ้งอยู่ในถังขยะ ถ้าเอาไปเผา จะเกิดอะไรขึ้น .. คิดเอาเองแล้วกัน … แต่ที่จริงแล้วเนี่ยที่ไทยมีการเผาขยะอยู่นะ แต่มีขยะประเภทเดียวที่ต้องเอามาเผา นั่นคือ ขยะติดเชื้อ หรือขยะจากโรงพยาบาลนั่นเอง แต่ว่าขี้เถ้าหรือเศษอะไรต่างๆ ก็เอาไปทิ้งที่ Landfill อยู่ดี
ใน Waste Management Center เขาให้ถ่ายรูปได้ แต่ว่า ไม่สามารถ publish รูปเหล่านั้นออกไปข้างนอกได้ ดังนั้นจึงเอามาให้ดูได้แต่รูปที่อยู่ภายนอก รูปซ้ายบนเขาจะแสดงถึง มลพิษที่เกิดจากเตาเผาขยะนี้ เพื่อให้ประชาชนโดยรอบได้รู้กัน ที่นี่ดูเด็กภาคเคมีจะสนุกดี เพราะว่าดูเหมือนเขาจะคุยกันรู้เรื่อง แต่เรามะเข้าใจ
จะว่าไปยังไม่ได้เอาตู้ขายน้ำให้ดูเลย ที่นี่ส่วนใหญ่จะวางขวด 3 ชั้น 2 ชั้นบนเป็นน้ำเย็น ชั้นล่างเป็นน้ำอุ่น ไม่รู้ว่ากลไกอะไรทำให้ทำแบบนี้ แล้วมันทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นไหมไม่รู้แบบ ดูดอันนึงไปคายอีกอัน อันนี้ไม่รู้จริงๆ

Vending Machine
ต่อมาเนื่องจากเพื่อนของเพื่อนได้จองร้าน Midori Sushi เอาไว้ตอนประมาณ 1 ทุ่ม ซึ่งถ้าถึงคิวแล้ว จะต้องอยู่ครบจำนวนที่จองไว้ ไม่งั้นก็จะไม่ได้เข้าไปกินนะ ดังนั้นเราต้องไปรอแถวร้านก่อน แต่ก่อนหน้านั้นก็มีเวลาพอสำหรับการเดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็มาเจอกันที่ รูปปั้น Hachiko
ร้านนี้พี่พัชชาแนะนำ และอาจารย์ไปกินแล้วก็บอกอร่อยมากๆๆๆๆ ยังไม่เคยไปลองเลย ไว้ไปคราวหน้าเดี๋ยวไปลอง ร้าน 牛かつ (Gyuukatsu) คัตสึเนื้อวัว

Gyuukatsu
แก้ตัว รูป 5 แยกชิบูย่า รูปเก่ามันไม่ชัด ตรงข้างหน้านี้มี Starbucks ที่เป็นสาขายอดนิยม เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะไปนั่งกินแล้วก็มาถ่ายรูป 5 แยกกัน ซอยขวามือนั่ง ถ้าเดินย้อนกลับไปแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอร้าน Disney แล้วก็มี Onitsuka อยู่ตรงข้าม (สาขานี้เคยเจอพนักงานคนไทยด้วย – คนไทยไปซื้อเยอะมาก เข้ากี่ทีก็เจอแต่คนไทย) เดินต่ออีกนิดก็จะเจอตึก Muji แล้วก็ต่อๆไปอีกก็มี Loft และอื่นๆอีกเยอะแยะเลยจำไม่ได้ละ เหล่านี้คือหลักๆที่จำได้ ที่แยกนี้มันจะต่างจากไทยตรงที่ คนจะข้ามได้ตอนที่ ทุกแยกเป็นไฟแดงหมด คนจะเดินเฉียงๆได้เลย โหดมาก

แยกชิบูย่า
ต่อไปก็ได้เวลาไปร้าน Midori Sushi แล้ว ร้านอยู่ชั้น 4 มั้ง แถวๆ Hachiko / สถานี Metro แหละมั้ง จำไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไร แล้วก็คนรอคิวเยอะมาก จนต้องไปบอกเขาว่า 11 คน แยกโต๊ะได้ ไม่งั้นไม่ได้กินแน่เลย

Midori Sushi

Menu
วันนี้สั่งเซต 2000 เยน เขาก็เริ่มจัดเสริฟมาเริ่มจาก สลัดมันปูมั้ง กับไข่ตุ๋น แล้วก็ชาร้อน อร่อยมากๆ แล้วเนื่องจากเรานั่งที่ Counter เชฟเลยค่อยๆปั้นให้ทีละคำเลย (แต่ว่าเขามีป้ายบอกอยู่ว่า ถ้าหากว่ามีคนรอเยอะ เขาจะเสริฟแบบครบเซตทีเดียวเลยไม่ทำให้ทีละคำ) แล้วก็มีซุปตามมา ขอบรรยายโดยรูปแล้วกัน เพราะเรียกชื่อปลาไม่ถูก
นับเป็นซูชิที่ฟินมากจริงๆ ถูกกว่าไทยเยอะมากๆ หลังจากนี้เราก็แวะไปซื้อ 3 day pass ที่ Bic Camera ราคา 1500 เยน เพื่อเตรียมใช้ 3 วันสุดท้าย เพราะว่าน่าจะเดินทางกันเยอะอยู่ นี่คือรูปบัตรทั้งหมดที่เคยซื้อเอาไว้ ตัวบัตร 3 day pass คือขวาล่าง สามารถใช้ได้กับใต้ดินสาย Metro กับ Toei ราคา 1500 เยนเป็นราคาสำหรับนักท่องเที่ยว ใช้พาสปอร์ตประกอบการซื้อด้วย
หลังจากนี้ก็กลับบ้านกัน เพราะว่า วันพรุ่งนี้จะต้อง Present ตัว Final Proposal ของวิชานี้ จะต้องเตรียม Presentation กันทุกทีม แล้วก็ต้องคุยกับทางฝั่งญี่ปุ่นกันด้วยหละ แต่ว่าด้วยความที่ ทีม Disaster เตรียมเสร็จตั้งแต่คืนก่อนแล้ว เย่ เลยไปเดินต่อ ก็พี่พัชชาพาไปกิน Cremia ครั้งแรก อร่อยมากๆ ราคา 500 เยน (ถูกสุดที่กินมา)

Cremia
ลองเดินไปร้าน Don Quijote สาขาชิบูย่า อยู่แถวๆตรงข้าม H&M วิธีเดิน ก็จาก 5 แยกมันจะมีป้ายนำทางไป H&M ก็ไปทางนั้นแหละ เขาก็ขายหลายอย่างมาก รวมถึง … สิ่งที่คุณก็รู้ว่าอะไร แต่ผมก็ได้ขนม ปากกา ดินสอ และอะไรมาเยอะแยะเลย แต่ว่าด้วยความ อยากรีบเดินรีบกลับบ้านไปเตรียม Presentation เลยไม่ได้ถ่ายรูปเลยสักรูป – – ”

  • 0

GATI2015 Part 5 : Trip Day 4 – Kawaguchiko – Mt.Fuji View

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : Kawaguchiko / วิวภูเขาไฟฟูจิ / ขึ้นเขา Kachi Kachi / รอบๆทะเลสาบ Kawaguchi / การขึ้นรถบัสญี่ปุ่น –> สนใจโปรดคลิกเข้ามาอ่านครับ

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกันก่อน Kawaguchiko (河口湖) เรียกอีกอย่างว่า ทะเลสาบ Kawaguchi (ไม่ต้องเรียกว่า ทะเลสาบ Kawaguchiko เพราะว่า ko แปลว่าทะเลสาบ) เป็นทะเลสาบที่อยู่ในจังหวัด Yamanashi และเป็นทะเลสาบที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟฟูจิมากที่สุด ถ้าในวันที่ฟ้าปรอดโปร่ง จะสามารถเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัด และใกล้มากๆ
วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยเอ็มม่าปลุก จะออกไปเดินเล่น และอากาศในวันนี้ประมาณ -4 องศาตอนตื่นนอน และแขนชาไปหมด เพราะนอนดิ้นมากๆ แขนหลุดไปอยู่นอกผ้าห่ม ตื่นมานี่ ชาเลย เอามืออีกข้างไปแตะ อย่างกะน้ำแข็ง ก็ต้องเอามาซุกผ้าห่มให้มันอุ่นนิดนึง แล้วก็ตื่น แล้วก็ลองเปิดหน้าต่างดูวิวจากที่พัก นี่คือวิวแรกจากหน้าต่างห้องพัก สวยมากเลย ต้องออกไปเดินหามุมที่ไม่มีอะไรบังฟูจิซัง

วิวจากหน้าต่างห้องพัก

เดี๋ยวจะไม่เชื่อว่า -4 จริงๆ
ตื่นมาเดินเล่นรอบทะเลสาบ ก็เดินเท่าที่เดินได้ และวันนี้เดินไปแล้ว หน้าชามาก เพราะหนาว และลมพัดเข้าหน้าตลอด เดินไปจนถึงสะพานอะไรไม่รู้ แต่วิวจากสะพานเนี่ยสวยมาก ไม่มีอะไรบังเลย

Fujisan
หลังจากตื่นแล้วก็ได้เวลาไปจุดนัดพบในวันนี้ คือที่สถานี เพื่อไปซื้อตั๋ว 2 day pass ของรถบัสรอบทะเลสาบกันก่อน แล้วก็ได้เวลานั่งรถเที่ยวแล้ว ที่แรกที่ไปก็คือ ภูเขา Kachi Kachi เป็นภูเขาสูงและเราสามารถมองเห็น ฟูจิซัง ได้ในมุมสูง ที่ตีนเขามีร้านคุกกี้กับชีสเค้กอร่อย เดี๋ยวค่อยเล่าตอนลงมานะครับ เนื่องจากเรารู้จากอาจารย์กันว่า มันสามารถเดินได้ และเพื่อประหยัดไม่ขึ้นกระเช้า เราจึงตัดสินใจเดินกัน ทางขึ้นโดยรถกระเช้าอยู่ตรงร้านคุกกี้ แต่ทางเดินขึ้นจะอยู่ตรงร้านชีสเค้ก ก่อนเริ่มเดินขึ้น ก็ซื้อน้ำเตรียมไว้ก่อนเลย น่าจะเหนื่อยอยู่ นี่คือเส้นทางการเดิน

เส้นทางการเดิน
ถ้าขึ้นกระเช้ามาก็จะไม่ได้มาดูวิวตรงตำแหน่งของ Nakabadaira Observation Area ตรงนี้คนน้อย เหมาะกับการถ่ายรูป เพราะพอขึ้นไปข้างบนแล้วคนเยอะมาก หามุมที่ถ่ายรูปไม่ติดคนอื่นยากอยู่ จากตำแหน่งชมวิวนั้นก็สามารถขึ้นไปจุดชมวิวที่รถกระเช้าขึ้นไปได้ นี่คือระหว่างทางที่เราเดินทางกันไป

ระหว่างทางเดิน
ถามว่าเหนื่อยไหม ก็ ค่อนข้างเหนื่อยเลยหละ จริงๆอากาศเย็น แต่ข้างในนี่เหงื่อออก พอเรามาถึงจุดชมวิวที่ไม่ค่อยมีคนกันแล้ว เราก็ต้อง Selfie การชมวิวของเรากันหน่อย เป็นการ selfie ขั้น advance จริงๆ selfie หันหลังให้กล้อง

Selfie ดูฟูจิ
ลอง selfie กันครบทีมเด็ก GATI กับทางเดินกลางป่ากลางเขากันบ้าง

Selfie เด็ก GATI
พอขึ้นไปถึงแล้ว ทำไมวิวเป็นแบบนี้อ่าาาา ดูเมฆครึ้มๆ

Fujisan
แล้วก็ถ่ายรูปกับอาจารย์ที่ขึ้นมารอล่วงหน้ากัน
บนนี้เขาก็มี Fortune Telling (おみくじ) ให้เลือกหยิบได้ด้วย ราคา 100 เยน ก็หยิบมา 1 ใบ ข้างในเขามีคำแปลภาษาอังกฤษให้ด้วย ดังนั้นหยิบอ่านได้ง่าย ขอปิดข้อความข้างในเป็นความลับแล้วกัน เอาเป็นว่าได้ very lucky … (แต่หลังจากกลับบ้านมาก็เจอว่า ผลการลงทะเบียนที่ลงไป ติด 1 วิชาคือ Com Eng Project 555)
แล้วก็มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิด้วย หลักๆก็สูง 3776 เมตร
ขาลงก็ลองมาถ่ายกันมุมเดิม ทีนี้ไม่เห็นฟูจิซังแล้วอ่า
ลงมาก็ลองมาแวะร้านคุกกี้

Fujiyama Cookie
และร้านชีสเค้ก

Cheesecake
วันนี้ก็เลือกที่จะซื้อทั้งปอนด์ 2 ปอนด์ไปกินกัน น่าจะถูกกว่าซื้อแยกชิ้น แต่ว่า พนักงานเขาบอก ถ้าซื้อเป็นปอนด์มันจะกินเลยไม่ได้นะ มัน freeze อยู่ เอ่อ ก็ซื้อมา กินตอนเย็นก็ได้ เดี๋ยวจะเผยหน้าตาตอนเย็น อดใจรอ อย่าเพิ่ง skip ไปดูข้างล่างนะครับ
เดี๋ยวก่อนสิ ข้าวเที่ยงยังไม่ได้กินเลย … และเวลานี้ บ่าย 2 แล้ว ผมก็เลยต้อง จัด Cookie กับ Cheese Cake มากินเล่นรองท้อง
ต่อมาทุกคนก็เลือกที่จะไปตามฝันของตัวเอง ทีม A ที่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว (เมื่อวานเขาไปนั่งรถเที่ยวตามเส้นทางสีเขียว วันนี้จะไปตามเส้นทางสีแดง) ทีม B ที่ไม่ได้เที่ยวเมื่อวาน วันนี้ก็จะไปนั่งรถเที่ยวตามเส้นทางสายสีเขียว แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้
เริ่มแรก รอรถเมล์ที่ป้ายหน้า Fujiyama Cookie พอรถมา ปรากฎว่า รถเต็ม ขึ้นรถไม่ได้ แงๆ มันคือรถสายแดง แล้วต้องไปเปลี่ยนเป็นสายเขียวอีกที เลยตัดสินใจ เดินไปที่ป้ายของสายเขียวเลย ก็ต้องรีบเดินให้ทันนิดนึง ระหว่างทางก็ถ่ายกับป้าย Kawaguchiko นิดนึงเดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึง
เดินไปทันแล้ว แต่ว่า มีรถสายเขียวมา เขาก็ประกาศว่า รถนี้ไปสถานี นะ ก็ขึ้นไป แล้วก็รู้ตัวทีหลังว่า ผิดคัน (อีกแล้ว) เลยต้อง ลง แล้วรอรถคันต่อไป เสียเวลาไปอีก เสียเวลาไปเสียเวลามา พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก็ได้แต่นั่งรถ วนรอบทะเลสาบ 1 รอบตามเส้นทางสายเขียว แล้วกลับสถานี ถึงสถานีตอน 6 โมง กว่าๆ แผนที่วางไว้ พังทั้งหมด เพราะรถที่วนไปแล้ว พวกจุดต่างๆเขาก็ปิดกันหมดแล้ว บนรถนั่งกันอยู่ 4 คนตั้งแต่ต้นจนจบ – – ” แต่ก็ได้ดูวิว สวยดีนะ
หมายเหตุว่า บนรถเมล์ญี่ปุ่นเนี่ย เขาห้ามเอาของอะไรขึ้นไปกิน ดังนั้นก็ได้แต่นั่งดูวิว และนั่งเล่นมือถือ ทีนี้มาถึงการขึ้นรถบัสญี่ปุ่นกันบ้าง นี่คือตัวอย่างป้ายรถบัส สายสีเขียวของ Kawaguchiko
ตัวรถบัสจะมาตรงเวลา และออกตรงเวลา ยกเว้นเจอสถานการณ์รถติด อาจจะเลทได้ ซึ่งเขาจะติดตารางเวลาที่รถบัสจะมา ที่ป้ายรถบัส การขึ้นในวันนี้ ใช้ 2 day pass ของ Kawaguchiko ก็ขึ้นได้เลย แต่ว่าถ้าเป็นกรณีปกติ เวลาขึ้นจะต้องหยิบตั๋ว ซึ่งจะมีหมายเลขบอกว่า เราขึ้นจากสถานีไหน แล้วก็ดูที่จอข้างหน้ารถบัส จะบอกราคาที่เราต้องจ่าย ตอนลง โดยช่องแรกสุดบนสุด จะเขียนว่า なし (nashi) แปลว่าไม่มีตั๋วนี้ แปลว่าเราขึ้นจากสถานีต้นทาง แล้วตัวเลข คือราคาที่ต้องจ่ายถ้าเราลงสถานีต่อไป ส่วนถ้าได้ตั๋วเป็นเลขต่างๆก็เทียบราคาจากข้างบนจอได้เลย
รูปข้างล่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นเลยว่า รถบัสแพงมาก แต่พนักงานขับรถเขาบริการดีมาก พนักงานขับรถจะติดไมโครโฟน คอยประกาศอยู่ว่า ถึงไหนแล้ว ประตูจะปิดแล้ว อะไรอย่างงี้ และดูปลอดภัยกว่ารถเมล์ไทยอย่างมาก อยากรู้ว่านั่ง 1 สถานี ราคาเท่าไร ก็อย่างน้อย 150 เยนแล้ว (ประมาณ 50 บาท)
ขอตัดไปที่ตอนเย็นเลยแล้วกัน เรานัดกัน 6 โมงเพื่อมากิน Cheese cake ที่ซื้อกันตั้งแต่บ่าย ตอนลงจากเขา Kachi Kachi แล้วกินให้ทันขึ้นรถบัสกลับ Shinjuku ตอน ทุ่มกว่าๆ นี่คือหน้าตา Cheese Cake ที่ซื้อมา
ตาม Style เด็กวิศวะ ก็คงไม่ได้ตัดแบ่งเป็นชิ้น นั่งกินดีๆ ก็ จ้วงกันทั้งชิ้นเนี่ยแหละ 555 ประเด็นอยู่ที่ จากที่ร้านเขาบอกว่า ตัว Cake เป็นปอนด์เนี่ย Freeze มา ซึ่งก็มันจริงอย่างงั้นอะนะ ด้วยความที่อากาศข้างนอกมันก็หนาวอยู่แล้ว มันเลยยังไม่ละลายซะเท่าไร แข็งอยู่เลย ก็กินยากนิดนึง หมดช้าหน่อย หลังจากหมดแล้ว ก็ดูซากช้อนได้ตามนี้
พอเสร็จแล้ว ก็รีบไปซื้อข้าวเย็นกันที่ 7-eleven แล้วก็เจอกับ item ลับ ซึ่งมารู้ว่า หายากมากๆๆๆ จากเพื่อนๆ เลยไม่ลังเล หยิบไปจ่ายตังเลย กินกันท่ามกลางอากาศหนาวๆเนี่ยแหละ ข้าวเย็นวันนี้ก็ ข้าวปั้น ไก่ทอด กับไอติม Haagen Dazs

Haagen Dazs
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถบัส สายตรงรวดเดียวถึง Shinjuku นั่งกันไป 8 คน แยก 2 คัน 5 คน กับ 3 คน ผมนั่งคัน 3 คนเพราะจองช้ากว่า แต่ถึง Shinjuku ก่อน ก็ยืนรอตรงป้ายแปบนึง ถึงประมาณ 3 ทุ่ม แล้วก็ไปเดินเล่น Shinjuku ยามค่ำคืนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่เขาก็ปิดกันแล้ว ก็เดินเท่าที่เขายังเปิดอีก แล้วย้อนกลับมาเจอกัน ประมาณ 4 ทุ่ม ดูนี่สิ ตลับเกม ยังมีขายอยู่เลย
หลังจากมาเจอกัน ทุกคนอยากไป Game Center ก็แวะกันไปแปบนึง แต่อยู่จริงซะนานเลย
แล้วก็ที่สำคัญ กาชาปองอีกแล้ว ดูทุกคนจะสนุก
หลังจากนั้นก็ ได้เวลาเดินทางกลับ ได้ใช้ Hyperdia อีกแล้ว จาก Shinjuku ไป Oshiage ตามเส้นทางนี้ ทีนี้ เดินทางถูกต้อง จากประสบการณ์การขึ้นผิด ลงผิดมาวันนึง นั่ง Metro Marunouchi Line ไปเปลี่ยนเป็น Hanzomon Line ที่ Otemachi (สถานีเมืองมือใหญ่) ไปลง Oshiage ทีนี้เดินทางกลับไปด้วยกัน
ทีนี้เนื่องจากบัตร Suica หรือ Pasmo อาจไม่พอ หรือตั๋วที่ซื้อจากตู้ซื้อมาแล้ว เราเปลี่ยนสถานีที่จะลง แล้วราคามันแพงขึ้น จะต้องไปเข้าตู้ Fare Adjustment ก่อน เพื่อเติมเงิน หรือจ่ายค่าโดยสารที่มันเกินไป บอกไว้ก่อนว่าบัตร Suica หรือ Pasmo เนี่ยมันไม่สามารถมีเงินติดลบเหมือนบัตร Rabbit หรือบัตร MRT ของไทยได้ ดังนั้นต้องไปเติมเงินก่อน การเติมเงินก็ เลือกภาษาอังกฤษก่อน แล้วก็เสียบบัตร กดปุ่มที่บอกว่า Charge แล้วเลือกจำนวนเงินที่จะเติม มันจะมีเป็น 1000 2000 … อะไรให้เลือก ถ้าเราต้องการเติมแบบตามจำนวนที่เราต้องการ ก็มีปุ่มอื่นๆให้เลือก แต่ว่าจะต้องเป็นจำนวนเต็มสิบ นั่นคือเติม 10 20 30 … 100 … ได้ แต่ไม่สามารถเติมอะไรที่มีหลักหน่วยได้ เช่น 9 13 อะไรแบบนี้เติมไม่ได้
วันนี้จบวัน ทุกคนกลับบ้าน อย่างแรกที่ทำคือ ถอดถุงเท้าแล้วไปล้างเท้า แล้วเก็บถุงเท้าไว้ไกลๆ จากการเดินขึ้นเขา และเดินทั้งวันเนี่ย ไม่ล้างเท้านี่น่าจะอยู่ด้วยกันยากอยู่ 555 วันพรุ่งนี้เข้าสู่การดูงานต่อไป
ตอนต่อไป จะเกี่ยวกับ การเรียนรู้การป้องกันตัวเองจากภัยพิบัติต่างๆ และ โรงเผาขยะ ที่ Shibuya และ ร้าน Midori Sushi

  • 0

GATI2015 Part 4 : Trip Day 3 – Fujiko F. Fujio Museum – Kawaguchiko

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : การเดินทางโดยรถไฟ (ภาคต่อ) / การใช้งาน Hyperdia / การเดินทางคนเดียว / Tokyo Skytree / Fujiko F. Fujio Museum / การเดินทางโดยรถไฟไปยัง Kawaguchiko

ก่อนอื่นเลย ต้องแนะนำพระเอกของตอนนี้กันซะหน่อย วันนี้เดินทางโดยรถไฟทั้งวันเลย และเป็นการเดินทางไกล ข้ามเมืองกันเลยทีเดียว จาก Tokyo -> Kawasaki -> Yamanashi เลยต้องศึกษาวางแผนเส้นทาง และเวลากันให้ดีก่อน ซึ่งการจะมานั่งเปิดตารางรถไฟเนี่ย มันค่อนข้างอ่านยากสำหรับชาวต่างชาติแบบเราๆ ดังนั้นทางเลือกที่ดี ก็คือ hyperdia (http://www.hyperdia.com/en) จริงๆมีเป็น App ด้วยแต่ว่าด้วยความที่ใช้บริการ Apple ID ของไทย มันเลยโหลดไม่ได้ – – ” ดังนั้นใช้บริการทางเว็บเอา ง่ายดี วิธีใช้งานช่างง่ายซะเหลือเกิน แค่กรอกสถานีต้นทาง สถานีปลายทาง แล้วเลือกวันเวลาที่ต้องการเดินทาง ซึ่งเลือกได้ว่า เวลาที่เราใส่เนี่ย เราอยากได้แบบ Departure (ออกจากต้นทาง) ใช้เวลาจะออกเดินทาง หรือ Arrival (ถึงปลายทาง) ใช้เวลามีนัด นั่งรถยังไงให้ไปถึงทันนัด (จริงๆใช้ Google Map มันก็บอกได้แล้วนะเดี๋ยวนี้ บอกว่านั่งสายอะไร เปลี่ยนรถที่ไหน กี่นาที อะไรอย่างงี้)

Hyperdia
ตัวอย่างการใช้งาน อันนี้แบบง่าย นั่งคืนก่อน กลับจาก Shibuya กลับบ้าน เช่นในรูปเขาก็บอกว่า มีรถไฟออกจาก Shibuya โดยใช้สาย Tokyo Metro Hanzomon Line for OSHIAGE จะถึง Oshiage (สถานีใกล้บ้าน ถ้าติดตามจาก part ก่อนๆ) ใช้เวลา 30 นาที มันก็จะขึ้นให้หมดเลยว่ามีขบวนที่ออกกี่โมงบ้าง อะไรอย่างงี้ เราก็เลือกขึ้นให้ถูกสาย (ดูป้ายดีๆ 1 สถานีอาจมีหลายสาย และ 1 สาย อาจมีขาไปขากลับ แยกชานชาลา และ 1 ชานชาลา อาจเป็นที่จอดของรถไฟที่ไปหลายปลายทางก็ได้ อันนี้ งง มาก) และแต่ละเส้นทางเขาจะบอกไว้เลยว่าใช้เวลาเท่าไร และราคาเท่าไร

Hyperdia
รถไฟที่ญี่ปุ่นเขามีประกาศด้วยหละ แต่เป็นภาษาญี่ปุ่น เขาจะมีเสียง แล้วตามด้วยประกาศ ドアが閉まります。ご注意ください。(Doa ga shimarimasu. Go chuyi kudasai.) ประโยคนี้ฟังง่ายสุด แปลว่า ประตูจะปิดแล้วนะ โปรดระวังด้วย … จริงๆแต่ละสายเขาประกาศไม่เหมือนกันอะ แต่จำคำพูดไม่ได้ บางสายบอก ระวังของด้วยประตูจะปิดแล้ว – ประตูจะปิดแล้ว ใครขึ้นไม่ทันขอให้หยุดรอขบวนต่อไป อะไรประมาณนั้น
มาเข้าสู่การวางแผน เนื่องจากทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต อยู่ที่ Kawaguchiko ทุกคนเลยจองรถบัส จาก Shinjuku สายตรงไปที่ Kawaguchiko แต่ว่าเนื่องจากเรามีเป้าหมายแยก เลยจะไปแวะดูพิพิธภัณฑ์ Fujiko F. Fujio ก่อน ดังนั้นเราต้องวางแผนการเดินทางส่วนตัว
เริ่มต้นที่ ต้องไปซื้อตั๋วเข้า Fujiko F. Fujio Museum ก่อน โดยต้องซื้อที่ Lawson มันจะมีตู้ซื้อตั๋วอยู่ ให้พนักงานช่วยกดก็ได้ กดเสร็จเอา Slip ไปจ่ายเงินที่ Counter แล้วเขาจะปรินท์ตั๋วมาให้ โดยจะต้องซื้อตั๋วตามรอบที่จะเข้า ได้แก่ 10.00 / 12.00 / 14.00 / 16.00 ต้องเข้าให้ตรงเวลา และถ้าเลทกว่าเวลาเข้า 30 นาทีจะไม่สามารถเข้าได้ ด้วยการที่ต้องการความปลอดภัย เลยจองรอบ 12.00 ไว้เผื่อเดินทางผิดพลาด หรือไม่ตื่น แต่ว่าเขาไม่ได้ fix เวลาออกนะ จะอยู่จนเขาปิดเลยก็ได้ไม่ผิดกติกา ราคาค่าเข้า ก็ 1000 เยน

ตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์
จากนั้นก็วางแผนการเดินทาง แผนการเดินทางเดิมเป็นดังนี้ ทุกคนจะต้องออกจากบ้านประมาณ 7 โมง เพื่อไปให้ทันรถบัสไป Kawaguchiko ผมก็ตื่นมารอส่งทุกคนแล้วล็อกบ้าน แล้วนอนต่อ ถึงประมาณ 8 โมงครึ่ง ตื่นมาอาบน้ำ หาอะไรกิน แล้วออกเดินทาง ตอนนี้ Plan คร่าวๆเป็นดังนี้
  • ประมาณ 8.50 เดินจากบ้านไป Sky tree เดินเล่นนิดหน่อยแถวนั้น
  • ประมาณ 9.20 ออกจาก Oshiage (ใกล้ Skytree) แล้วเดินทางไป Kawasaki Daishi เพื่อดูวัด อะไรแถวนั้นตามที่หนังสือเขาแนะนำ น่าจะถึงประมาณ 10.10
  • ประมาณ 10.30 ออกจาก Kawasaki Daishi ไป Noborito เพื่อต่อรถบัสไปพิพิธภัณฑ์ ให้ทันเวลาเข้า 12.00
  • ประมาณ 14.00 ออกจากพิพิธภัณฑ์ กลับมา Noborito แล้วรอขึ้นรถไฟไป Kawaguchiko
แต่ว่า โลกแห่งความจริง มันไม่เหมือนความฝัน ตอนไป Skytree รู้ว่าเขาเปิดให้เข้าตอน 8.00 แต่ว่าพวกร้านอะไรแถวๆนั้นเขาเปิด 9-10 โมง ซึ่งเราไป 9 โมง ร้านก็เปิดนิดๆหน่อยๆ ไม่ค่อยได้เดินดูอะไร เลยเดินไปหามุมถ่ายรูป Skytree ซะ เดินซะรอบเลย หลงทาง – – ” ก็คลำๆไปเรื่อยๆ ก็กลับมาได้ แล้วก็ได้เดินแค่ร้านของฝากจาก Skytree เจอพวกของ Star wars ด้วย แต่ไม่ได้ซื้อ 555

วิว Skytree
ถ้าการเดินทางตามแผน ควรจะเดินทางตามเส้นทางนี้ครับ
แต่ว่ามันผิดแผนตั้งแต่ตอนแรกเลย ตอนถึงสถานี Sengakuji เนี่ยมันเป็นสัญลักษณ์แปลกๆ ก็เข้าใจว่าต้องเปลี่ยนรถ เลยรีบลงจากรถ วิ่งหาว่าต้องขึ้นอันไหนต่อ ขณะ งงๆอยู่นั้น ประตูรถก็ปิด แล้วก็มารู้ทีหลังว่า รถขบวนเดิมนั่นแหละเขาเปลี่ยนเส้นทาง เรานั่งต่อได้เลย เราไม่ต้องเปลี่ยน ผิดแผนเฉย ต้องรอรถไฟขบวนต่อไป ทำให้ไปถึง Kawasaki Daishi สายไปประมาณ 10 นาที ก็มีเวลาเดินน้อยลง ก็รีบๆเดิน รีบจนถ่ายรูปมาแค่ รูปเดียว เอ่อ ….
แล้วก็กลับมาสถานี เลท อีก ทำให้ต้องเลื่อนไปออกจาก Kawasaki Daishi ตอน 10.40 แทน ทีนี้ก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว มีบทเรียนมาพอสมควร ก็นั่งรถไฟต่อไปยัง Keikyu Kawasaki แล้วก็ต้องเปลี่ยนขบวนไปขึ้นเป็นของ JR โดยสถานีมันคนละสถานีกัน ต้องเดิน 8 นาที ซึ่งก็เข้าใจว่า มันเดินใน 8 นาทีแบบถึงพอดีเป๊ะได้ แต่เราเป็นชาวต่างชาติ สถานีมันอยู่ไหนก็ไม่รู้ ขึ้นมาบนดิน สู่สภาพอันเวิ้งว้าง ไม่รู้เดินไปทางไหนดี ใช้ Google Map ช่วย มันก็ Location ไม่แม่นอีก เดินไปผิดทางอีก กว่าจะถึง รถไฟออกไปแล้ว – – ” ต้องรอรถไฟขบวนต่อไป ถ้าตามรูปก็ตาม Route 2 นั่งจนถึง Noborito
พอถึง Noborito ตามคำแนะนำที่อ่านมาก็ออกประตู Ikuta Park Exit แล้วก็เดินไปรอที่ป้ายรถเมล์ ด้วยความที่พอเดาจากป้ายได้ ซึ่งป้ายเขาไม่ได้ช่วยชาวต่างชาติเลย ภาษาญี่ปุ่นล้วน พออ่านได้ ก็ไปถูก เขาบอกให้ตรงไปอีก 40 เมตร ก็รีบๆไป กลัวไม่ทันเวลาเข้า
ก็ไปรอที่ป้ายรถเมล์ ที่เป็นรถเมล์เฉพาะที่จะไป Fujiko F. Fujio Museum แล้วก็มีรถลายโดเรมอนมา ก็คนต่อคิวเยอะมาก ดูจากรูปได้ ต้องรอรถ 2 คันถึงได้ไป ค่าโดยสารก็ 200 เยน ทางตรงไปจอดที่ Fujiko F. Fujio Museum เลย ใช้ suica จ่ายได้นะ ราคาถูกกว่า 200 เยนด้วย
พอไปถึง ลองดูนี่หรือคน เยอะมากกกกๆๆๆ ดีที่มาทันเวลา ก็ได้ยินเสียงคนไทยประปลาย ก็ทำเป็นไม่ใช่คนไทยไม่คุยกับใครทั้งนั้น มาคนเดียว อยู่คนเดียว … แล้วก็ เจอแต่เด็กๆเต็มไปหมด เด็กเยอะมากๆ
ก็จะได้รับโบร์ชัวร์ว่าเราจะเข้าชมข้างในยังไงบ้าง ถ้าโหดหน่อยก็ขอฉบับภาษาญี่ปุ่นได้
ทีนี้ก่อนจะเข้าก็ต้องผ่านด่านนี้ก่อนเลย แนะนำการเข้าชม ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาจะแนะนำเป็นภาษาญี่ปุ่นนะ แต่ว่าบนทีวีจะมีแปลภาษาอังกฤษไว้ด้วยเผื่อใครฟังไม่ออก แต่พนักงานที่นี่ พูดภาษาญี่ปุ่นที่ฟังง่ายมากๆ แค่ความรู้ที่เรียนมาก็สามารถฟังได้ออกหมดเลย เพราะว่ามีเด็กๆเยอะ เขาเลยต้องพูดให้เด็กๆฟังเข้าใจ และเราก็เรียนญี่ปุ่นมาแบบ ขั้นต้นเพิ่งจบ ก็ความรู้ประมาณเท่าๆเด็กประถมนั้นแหละครับ เขาก็อธิบายคร่าวๆว่า เขาจะมี guide ให้เรากดเบอร์ตามตำแหน่งที่เราไป เขาจะมีเสียงพูดออกมา แล้วก็ห้อง 1 กับห้อง 2 ห้ามถ่ายรูป และห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ นอกนั้นสามารถถ่ายได้ครับ
พอเข้าจากห้องนั้นมาแล้ว ก็จะเป็นโซนที่ตรวจตั๋ว แล้วก็จะได้ Guide ส่วนตัวมา หรือเทียบได้กับ วุ้นแปลภาษา ให้เราเข้าใจ ตั๋วเล็กๆที่เห็นนั่น คือตั๋วเข้าไปดูหนัง เขามีฉายหนังที่ทำขึ้นพิเศษเฉพาะ พิพิธภัณฑ์นี้โดยเฉพาะเลย
พอผ่านเข้าไปห้องที่ 1 และห้องที่ 2 ก็จะเป็นจัดแสดงประวัติของอาจารย์ Fujiko F. Fujio พวกแรงบันดาลใจว่าทำไมถึงมาเขียนโดเรมอน แล้วก็ยังมีพวกต้นฉบับของจริง ลายมือเขาจริงๆ มาให้ดูเลย แล้วก็มีของจำลองของวิเศษให้ดูด้วย แล้วก็แต่ละตอนก็จะเป็นตอนแรกที่ของวิเศษแต่ละชิ้นปรากฎขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้ให้ดูด้วย เช่นปากกา กระดาษ sketch ตัวละคร เป็นต้น ต้องลองไปดู โซนนี้ถ่ายรูปไม่ได้ ใช้มือถือไม่ได้ เลยไม่มีรูปมาฝากกัน
โซนต่อไปเป็นโซนให้นั่งพักได้ จะมีหนังสือการ์ตูนโดเรมอนให้อ่านด้วย สามารถนั่งอ่านได้ ก็ลองไปหยิบมาอ่านดูแล้ว ก็พบว่า ศัพท์บางตัวก็แปลไม่ออกจริงๆ สงสัยคลังศัพท์ยังน้อยเกินไป ต้องสู้ต่อไป …
ผ่านจากตรงนี้ไป ก็จะเป็นโซนให้ถ่ายรูปได้แล้ว ก็ยกตัวอย่างบาง Landmark แล้วกัน มี บ่อน้ำของคนตัดฟืน ที่ไจแอนท์ตกลงไปแล้วก็ขึ้นมาเป็นไจแอนท์หล่อ อันนี้ไม่ได้ไปถ่าย เพราะต้องต่อคิว ไม่มีคนถ่ายให้ด้วย และคิวยาวครับ
อันต่อไปก็ ไดโนเสาร์ของโนบิตะ พีซุเกะ
ต่อมาภูเขาหลังโรงเรียน มีต้นไม้ด้วยดูสิ
ต่อมาประตูไปไหนก็ได้ どこでもドア ซึ่งมันไปไหนไม่ได้ อยู่ได้แค่ตรงนั้น คำถามคือไปคนเดียวถ่ายรูปยังไง ก็อาศัยให้คนญี่ปุ่นแถวนั้นช่วยถ่ายให้ 写真をとってくださいませんか。(Shashin o totte kudasai masenka.)ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมครับ
ต่อมาก็ เป็นท่อ 3 ท่อ signature ของโดเรมอน
นอกจากนี้ยังมี prop ให้เข้ากับเทศกาล มีต้นคริสต์มาสด้วย
แล้วก็มีตู้ติ๊งต่าง ที่โทรศัพท์แล้วโลกนี้ก็จะเปลี่ยนไปตามที่เราบอกไว้เลยหละ
นอกจากนี้มี Cafe ด้วย ซึ่งไม่ได้เข้าไปกิน เพราะคนเยอะมากๆ นี่คือเมนู
แล้วก็มี กาชาปองด้วย ลูกละ 300 เยน ไม่ได้กดนะ
หลังจากนั้นก็นั่งรถบัสกลับมาที่ Noborito เพื่อกินข้าวเที่ยงตอนบ่าย 2 – – ” เพราะไม่มีเวลากินเลย ก็ได้มากิน ร้านสุดคลาสสิก และเร็ว Yoshinoya ก็กิน Gyuudon (牛丼) หรือข้าวหน้าเนื้อ
จาก Noborito ก็จะเดินทางไป Kawaguchiko ตามเส้นทางนี้ ออก 14.58
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เป็น เพราะว่า รีบจัด ลงไปสถานีแล้วขึ้นรถผิดขบวน หรือผิดชานชาลาสักอย่าง เห็นรถกำลังจะออก รีบร้อนขึ้น ไม่ทันอ่าน – – ” ขึ้นผิดเลย ขึ้นไปก็พบว่า มันยังไม่ใช่เวลาตามที่เขาบอกไว้นี่หว่า มันยังไม่ถึงงงงง ซวยแล้ว ไปซะคนละทาง ต้องรอรถนั่งกลับมา เอ่อออออ ก็ไม่ทันขบวนที่จะนั่งจริงๆ ก็ต้อง หาใหม่ ได้เส้นทางใหม่
กว่าจะกลับมา มันก็เลทไปแล้ว ด้วยความที่นัดเพื่อนๆไว้เวลา 6 โมงมารับที่สถานี และเพื่อนๆดันไม่มีเนต เลยต้องตรงเวลาไปนิดนึง เลยต้องหาทางอื่นที่ไปถึงทันเวลา ก็ได้เส้นทางตามข้างล่าง ราคาก็อัพขึ้นอีกหน่อย เพราะต้องนั่งรถด่วน ถ้าจำไม่ผิด (特急) หรือ LTD. EXP นั่นเอง ซึ่งต้องไปขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สถานี เพราะมันยังพอมีเวลา เขาบอก ว่า ถ้าซื้อตั๋วแบบ ไม่ระบุที่นั่งจะถูกกว่า ต้องไปขึ้นตู้ที่ 3-6 มั้ง (ตู้ไม่ใช่โบกี้) ช่วงถามนี่คือ คิดศัพท์อังกฤษไม่ออก เลยใช้ภาษาอังกฤษผสมญี่ปุ่น คือคิดไม่ออกว่าภาษาอังกฤษคืออะไร เช่นคำว่า 号車 ตู้หมายเลข… / 番線 ชานชาลา (เพิ่งนึกออกทีหลังว่า Platform แต่ญี่ปุ่นเขาใช้คำว่า Track)
รถด่วนพิเศษจะให้บริการแบบเครื่องบินเลย มีขายน้ำขายขนมด้วย มีพนักงานเดินตรวจตั๋วด้วย ที่นั่งสบายมาก และก็นั่งไปทันเวลารถไฟต่อไป ที่จะออกจาก OTSUKI เวลา 16.55 ตาม Plan เดิม
ตัว Hyperdia สามารถดูเส้นทางเดินรถด้วยนะ กดตรง Train Timetable ก็จะเห็นเวลาของรถว่า จะออกจากสถานีไหนกี่โมง และถึงสถานีกี่โมง
ถ้าดูจากตารางรถด่วนพิเศษ จาก TACHIKAWA ไป OTSUKI นั่ง 2 สถานีเท่านั้น แต่จริงๆมันผ่านเยอะกว่านั้นนะ ด้วยความเป็นรถด่วนพิเศษมันก็ไม่ค่อยจอด
ต่อไปก็ต่อรถไปยัง Kawaguchiko ขบวนรถน่ารักมาก เป็นลายคุณโทมัส เหมาะกับเด็กๆจริงๆ นั่งยาวเกือบชั่วโมง ก็หลับได้แล้ว วันนี้ทั้งวันนั่งรถไฟ หลับไม่ได้ กลัวเลยสถานี มาถึงนี่ เหนื่อยมาก เลยต้องหลับอะไม่งั้นไม่ไหวจริงๆ ก็หลับไป เพราะยังไงเราลงสุดทางอยู่แล้ว
ในที่สุดมาถึงสถานี Kawaguchiko อุ่นใจ แต่หนาวกาย หนาวจริง มีเพื่อนมารับ เย่ คืนนี้ที่พักแยกกัน ผู้หญิง 4 คนพักตรงแถวสถานี ส่วนผู้ชายอีก 4 คน + อ.อรรถสิทธิ์ ไปนอนอีกที่นึง อีกฝั่งของทะเลสาบ เดินจากสถานีประมาณ 30 นาที และด้วยความที่อาจารย์บอกว่า จะถึงตอนทุ่มกว่าๆ ก็เลยรอไปกินข้าวด้วยกันแล้วค่อยไปเข้าที่พัก
ระหว่างรอก็ได้นอนเต็มๆแล้ว เย่ ก็อาศัยห้องผู้หญิงนอนพักไปก่อน รออาจารย์มา แล้วก็จะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ประมาณ ดึกแล้วอยู่ ก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงริมทะเลสาบ ก็มีร้านอาหารร้านนึง ก็เข้าไปนั่งกิน ราเมง ชามใหญ่ม๊ากกกกก แต่อร่อยดี เหมะกับอากาศหนาวๆแบบนี้
จากนั้นก็เข้าที่พัก มีชุด ยูกาตะ ให้ด้วย ก็ใส่ถ่ายรูปซะนิดนึง แต่ไม่เอามาแปะแล้วกัน หน้าดูมึนๆ ง่วงๆ แล้วก็ นั่งเล่นแปบนึง แล้วก็นอน ตอนเช้ากะจะไปเดินเล่นรอบทะเลสาบซะหน่อย
ตอนต่อไปก็มาดูการเที่ยว 1 วันที่ Kawaguchiko แล้วก็วิว ภูเขาไฟฟูจิ

  • 0

GATI2015 Part 3 : Trip Day 2 – Tokodai

Category : GATI2015

Part นี้เกี่ยวข้องกับ : การเดินทางโดยรถไฟ / ดูงานใน Lab ต่างๆของ Tokodai / ดูงานด้าน Transportation ของญี่ปุ่น / ชิบูย่า / Ichiran Ramen (ราเมงข้อสอบ) –> สนใจโปรดคลิกเข้ามาอ่านครับ

ก่อนจะเริ่ม Part นี้ ขอแนะนำตัวละครที่เป็นพระเอกของ Trip นี้กันก่อน นั่นคือ Map รถไฟใต้ดินนั่นเองเป็น Map ที่ทุกคนถือเวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน

Map
ปกติเราซื้อ Metro X day pass กันซึ่งจะใช้ได้กับสายใต้ดินที่เป็น Metro กัย Toei (ใช้กับ JR ไม่ได้) ก็ต้องวางแผน ปกติเลยต้องพก Metro pass กับ Suica หรือ pasmo (คล้ายๆ บัตร rabbit) ก็ต้องใช้คู่ๆกันเพื่อประหยัด เดินทางโดยใช้ Metro & Toei เป็นหลัก แล้วต้นๆ ปลายๆทาง ก็ใช้ suica เอา แนะนำสถานีที่จะถูกพูดถึงบ่อยๆเวลากลับบ้าน
  1. Hikifune ใกล้บ้านที่สุด แต่ว่ามันอยู่นอกขอบเขตการใช้ pass เลยต้องไปใช้สถานีต่อไป
  2. Oshiage เดินถึงบ้านใน 10 กว่านาที และอยู่ใกล้ Tokyo Skytree แล้วก็ปกติจะไป Hikifune ก็ต้องมาเปลี่ยนรถที่นี่ ก็เลยตัดสินใจลงที่นี่ซะเลย
  3. Ookayama เป็นสถานีที่ Tokodai ตั้งอยู่แถวนั้น
เริ่มวันนี้กันโดยการที่มีคนจาก Tokodai มารับถึงบ้าน แต่ด้วยความที่ Google Map ทำงานดีมาก ทำให้คนที่มารับเขาไปผิดตึก กว่าจะเจอกัน แล้วก็เดินทางไปมหาวิทยาลัยตามการนำทางของเขา และพบว่า ค่ารถไฟไปกลับ รวมทั้งสิ้นประมาณ 2000 เยน โอ้ เดินทาง 1 วัน นี่ยังไม่รวมค่ารถไฟไปดูงานที่ต่างๆอีกนะ เลยตัดสินใจนั่งจาก Hikifune ไปลง Oshiage เพื่อไปซื้อ One day Pass ราคา 1000 เยน (จริงๆควรจะซื้อได้ในราคา 800 เยน แต่ต้องซื้อที่ Bic Camera และเป็นราคาสำหรับนักท่องเที่ยว) แล้วก็ให้เขาพาเดินทางโดยใช้ Metro มันได้ไม่สุดทาง ก็เสียต้นๆ ปลายๆ อีกนิดหน่อย ราคาประมาณ 160 เยน

one day pass
เจอศัพท์ที่เรียนอีกแล้ว จากหนังสือ คันจิ N2 ที่กำลังเรียนอยู่
  1. 乗車券 (Joushaken) แปลว่าตั๋วรถไฟ [乗る (noru) ขึ้นรถ / 電車 (densha) รถไฟ / 券 (ken) ตั๋ว]
  2. 地下鉄 (Chikatetsu) แปลว่ารถไฟใต้ดิน [地下 (chika) ใต้ดิน / 鉄 (tetsu) เหล็ก]

นั่งรถไฟ
อย่างที่เรารู้กันดีแล้วว่า รถไฟตอนเช้านี่ คนแน่นมาก ไม่รู้จะบรรยายยังไง รูปก็ไม่ค่อยชัด แต่มีสิ่งนึงที่เห็นภาพมากๆ หลังจากที่คนลงๆกันไป จนรถเรื่มโล่ง ก็ได้เจอสิ่งแปลกปลอม นั่นคือ รองเท้า 1 ข้าง นั่นหมายความว่า มันมีคนเดินเท้าเปล่าออกจากรถไฟไป จริงๆแล้วมันเบียดขนาดที่เขารองเท้าหลุด แล้วไม่มีโอกาสกลับไปเก็บ

รองเท้าหลุด
การเดินทางโดยรถไฟมันก็ต้องมีการเปลี่ยนสาย เปลี่ยนขบวนกันบ้าง ที่นี่งที่สถานีจะมีป้ายบอกเลยว่า รถไฟจะมาเวลาเท่าไร และไปปลายทางอะไร และรถไฟ ตรงเวลามากๆๆ ออกตรงเวลา มาตรงเวลา ถ้ามาก่อนเวลา ก็จะจอดรอจนกว่าจะถึงเวลาออก ถ้ารถไฟออกเกินเวลา ก็จะไปเร่งความเร็วรถแทนเพื่อให้ไปถึงสถานีต่อไปไม่เลท (อันนี้รู้เพราะเคยเจอ แล้วก็ฟังเขาประกาศ ออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่จับใจความ + เดาได้ว่าแบบนี้)

ที่สถานี
ด้วยเหตุ ที่ต้องเปลี่ยนรถไปมา แล้วก็กว่าจะเจอกันเพราะไปผิดตึก ทำให้เสียเวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง ไปเลท 1 ชั่วโมง กว่าจะถึง Ookayama แต่ว่าตามสไตล์คนญี่ปุ่น คือความตรงต่อเวลา ดังนั้นเขาเริ่มกิจกรรมตรงเวลา เราไปเลทไม่ทันเขาพาไปดูงานในมหาวิทยาลัย บางที่ ไปทันที่เขาพาไปดู Super Computer พอดี

สถานี Ookayama

Super Computer
หลังจากนั้นก็แบ่งเป็น 2 กลุ่มไปดู Lab ต่างๆ โดยชาวคอมพิวเตอร์เขาก็พาไปดูแลป คอม ซึ่งน่าสนใจมากๆ เลย

ทีมดูแลปคอม
แลปแรกที่ไปดู น่าจะทำเกี่ยวกับ Computer Vision นะ งานชิ้นแรกที่เขาโชว์ ก็คือ การ detect gesture ของมือ ข้างล่างที่เห็น เป็นจอทีวี ธรรมดา ไม่สามารถ touch screen ได้ เกมที่เขาโชว์นี้ สามารถยิงลูกกระสุนได้ ถ้าเราทำมือเป็น วงกลม แล้วขยับนิ้วไปในทางไหนก็จะเป็นยิงกระสุนไปทางนั้น โดยมีกล้องจับอยู่ข้างบน และสามารถเล่นได้หลายคนในกระดานนี้ด้วย
งานชิ้นต่อไป เป็นการจำลองว่าเรานั่งอาบน้ำในอ่างอยู่ เวลาอยากดูวีดีโอ ดูรูป หรือเล่นมือถือเราจะทำยังไง เราคงไม่ถือมือถือเข้าไปแช่น้ำด้วย ก็ทำให้ projector ฉายภาพลงมาที่ผิวน้ำพอดี แล้วก็มีตัว Kinect คอยจับสัญญาณมือของเรา เช่นการใช้นิ้วลาก จอเพื่อย้ายตำแหน่ง หรือใช้ 2 นิ้วเพื่อขยายขนาดภาพ หรือว่า touch ผิวเพื่อเริ่มเล่นคลิปวีดีโอ หรือว่า เอาอุ้งมือยกน้ำขึ้นมาแล้วภาพจะไหลมาอยู่บนอุ้งมือจนเราปล่อยน้ำลงไปที่อ่าง ภาพก็จะกลับไปบนผิวน้ำเหมือนเดิม อันนี้เจ๋งมากๆเลย
ชิ้นต่อมาเป็นการจับการเคลื่อนที่ของลูกบอล และฉายภาพอะไรบางอย่างไปบนลูกฟุตบอลนั้น มีประโยชน์สามารถนำไปพัฒนาต่อได้เช่นการฉายโฆษณาบนลูกฟุตบอลขณะมีการแข่งขันอยู่เป็นต้น อันนี้ไม่ใช่ว่า detect ลูกบอลได้ตรงไหนจะฉายภาพไปตรงนั้น เพราะว่าลูกบอลมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ดังนั้นจะต้องมีการทำนายตำแหน่งลูกบอลด้วยว่าตำแหน่งต่อไปมันจะไปอยู่ที่ไหน
อีกแลปนึงไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไร ก็มี 3 ชิ้นงานที่เขาพาไปดู ชิ้นแรกเป็นการ detect บุคคลว่าเขาทำท่าอะไรอยู่ เช่นต่อยมวย อะไรอย่างงี้ เขาบอกประมาณว่า อันนี้พัฒนาต่อไปได้เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกายภาพบำบัด ดูว่าเขาทำถูกต้องไหมอะไรอย่างงี้
อันที่สองก็เป็นการ detect เสียงว่า เสียงนี้เป็นคนคนไหนเป็นคนพูด มั้งนะ จำไม่ค่อยได้แล้ว
อันที่สามเป็นการ detect วีดีโอ ว่าตัววีดีโอนี้เกี่ยวกับอะไร เช่น เป็นวิวภูเขา หรือต้นไม้ หรือเป็นคน อะไรแบบนี้
มื้อเที่ยงวันนี้ได้กินที่โรงอาหารของ Tokodai ได้ลองข้าวแกงกระหรี่ หมูทอด มั้งจำไม่ได้แล้ว ราคา 410 เยน
หลังจากกินเสร็จแล้ว ก็เคลียร์จานข้าวของตัวเอง แยกช้อน ส้อม แยกขยะ แล้วก็เอาเฉพาะจานไปคืนที่ counter
หลังจากข้าวเที่ยงก็เดินทางไปดูงานที่ Tokyo Station สถานีที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการเดินทาง จะไปเหนือล่องใต้ ไม่รู้เริ่มจากไหน มาเริ่มจาก Tokyo Station ก่อนเลย แล้วก็ตัวอาคารนี้เขามีชั้นอะไรซักอย่างจำไม่ได้แล้วอยู่ใต้อาคาร ทำให้เวลาเกิดแผ่นดินไหว ตัวอาคารมันจะไม่เป็นอะไรเลย สามารถทนต่อแรงแผ่นดินไหวได้

ด้านหน้า Tokyo Station

Tokyo Station จากมุมสูงบ้าง

ใน Tokyo Station บ้าง
ต่อมาไปดูงานที่ Metropolitan Police Dapartment Traffic Control Center หรือศูนย์ควบคุมการจราจรของโตเกียว ที่นี่เขาเป็นศูนย์ Monitor การจราจรทั้งโตเกียวเลย โดยเขาจะมีกล้องคอยส่องที่แต่ละสี่แยก จะทำให้รู้ความหนาแน่นของรถยนต์บริเวณแยกนั้น แล้วจะแสดงไว้บนจอ ว่าแต่ละเส้นทางมีความหนาแน่นของรถยนต์เท่าไร (รถติดไหม) แล้วก็ทำการ ปรับ เวลาของสัญญาณไฟจราจร ให้คลี่คลายปัญหารถติดให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ถ้าเห็นจอคอมข้างล่าง จะเป็นจอของกล้องวงจรปิดทุกสี่แยกที่ติดตั้งไว้เลย สามารถกดขึ้นมาดูได้ ส่วนขาวๆขวาบนนั้น เป็นรายงานการเกิดอุบัติเหตุ ว่าตอนนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่บริเวณถนนไหน นอกจากนี้ยังมีระบบที่เขาสามารถคำนวณได้ด้วยว่า มีรถที่วิ่งมาด้วยความเร็ว และจะถึงสี่แยกทันไฟเขียวไหม ถ้าไม่ทัน ก็อาจทำให้ไฟเขียวยาวขึ้นหน่อย เผื่อเขาเบรคไม่ทัน เป็นการลดอุบัติเหตุอย่างนึง สุดยอดมากเลยหละ
ปล. ดูไปดูมา มันใกล้เคียงกับ Senior Project ยังไงไม่รู้ แล้วก็ใกล้เคียงกับที่เรียนในคาบ Wireless Computer Network ด้วย (โฆษณาแฝง)

กล้องวงจรปิดในแยกต่างๆ
หลังจากนั้นก็มีเป้าหมายคือกลับไปคุยงาน Project ของวิชา GATI กับกลุ่มแบบตัวเป็นๆกัน ที่ Tokodai แต่ว่ายังขาดอย่างนึงที่ยังไม่ได้ให้เห็นเลย คือญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการแยกขยะมาก เลยเอาตัวอย่างถังขยะที่เจอในสถานีมาให้ดู
ตอนเย็นก็ไม่มีอะไรมากคุยงานกัน ในกลุ่ม
แล้วก็มี แจ๊บ มาหาถึงห้อง รูปนี้คือ ทีมภาคคอม ณ Tokyo Tech
หลังจากคุยงานเสร็จแล้ว ก็ประมาณ 6 โมงครึ่ง ตอนเย็น ก็ได้ไกด์ แจ๊บ พาไป ชิบูย่า เป้าหมายเพื่อ Ichiran Ramen (一蘭ラーメン) หรือราเมงข้อสอบ มันมีหลายสาขานะ นี่คือสาขาที่ไปกิน
วิธีกินคือ เข้าไปต่อคิว … แล้วก็กดซื้อตั๋วที่ตู้ ว่าจะกินอะไรบ้าง ใส่ Topping อะไรบ้าง อย่างน้อยก็กด ราเมง ไป 790 เยน แล้วผมก็เพิ่ม ชาชู อีก 180 เยน
พอถึงคิวแล้ว พนักงานเขาก็จะเอากระดาษมาให้วง เหมือนทำข้อสอบ คือไม่รู้ว่าเขาคิดว่าเป็นคนจีนได้ไง เขาเอาใบภาษาจีนมาให้ ก็มีตัวบางๆภาษาญี่ปุ่นอยู่นะ สุดท้ายก็ขอใบภาษาอังกฤษเขามา
ที่นั่งเป็นแบบนั่งคนเดียว เหมือนนั่งทำข้อสอบ ก็ติ๊กๆเสร็จแล้วก็ กดเรียกพนักงาน แล้วก็รอ … ซ้ายมือที่เห็นเป็นที่กดน้ำ มีแก้วอยู่ข้างบน
รอจนราเมงมาก็ได้กินแล้วครับ ง่ายมากเลย
มีจุดแปลกอีกอย่างของร้าน ก็คือห้องน้ำ ห้องน้ำนี่มี ทิชชู่ให้เลือกใช้ ตามแต่ความชอบเลย
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน เดินตามแต่ละคน ก็เดินดูของจริงๆ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเลย แล้วนัดเจอกันที่บ้าน แต่ก็ทุกคนได้รับคำเตือน อย่าเดินเพลิน ดูเวลารถไฟด้วย ก็นัดเจอกันบ้าน ผมนี่ถึงบ้านประมาณ 5 ทุ่ม คิดว่าน่าจะมีคนถึงก่อน … ไม่จริงเลย ถึงเป็นคนแรก ได้เวลาวางแผนการเดินทางของวันต่อไป

แยกชิบูย่า แบบ เบลอๆ
ตอนต่อไป … เนื่องจากมันเป็นวันเสาร์แล้ว ไม่มีตารางกิจกรรม ดังนั้น … เที่ยว สิครับ … การเดินทางไป Kawaguchiko … “คนเดียว”

  • 0

GATI2015 Part 2 : Trip Day 1 – DMK to NRT

Category : GATI2015

หลังจากรู้คร่าวๆเกี่ยวกับวิชาแล้ว ก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า วันที่ 17-24 ธ.ค. ได้ออกไปดูงาน (และเที่ยว) ที่โตเกียว …
วันแรก นัดเจอกันที่ สนามบินดอนเมือง (DMK) เดินทางโดยสายการบิน Air Asia X Flight XJ606 ตามตาราง ออกจากกรุงเทพเวลา 10.45 และถึง นาริตะ เวลา 19.00 (เวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง)
สำหรับคนที่เดินทางโดย Air Asia X ก็ควรจะ Check in ผ่าน Website มาก่อน เวลาฝากกระเป๋า มันจะเร็วกว่าใช้ทางปกติไม่ต้องต่อคิว Check in ปกติ

Counter ฝากกระเป๋า สำหรับคน Check In มาแล้ว
หลังจาก ฝากกระเป๋า ก็ผ่าน ตม. เดี๋ยวนี้ใช้ระบบอัตโนมัติ กันแล้ว ถ่ายรูปไม่ได้ ก็ไม่มีรูปนะครับ
หลังจากนั้นก็ อยู่ข้างในอย่างนาน รีบเข้าไปหน่อย ไปถึงเป็นชนกลุ่มแรกที่ไปถึง gate ไม่มีใครเลย – – ” ก็ยืนคุยกันอยู่แถวนั้นแหละ จนเวลา boarding time ก็ต่อคิวขึ้นเครื่อง Group เราได้ที่นั่งโหดมาก แถวหลังสุดเลย ข้อดีของแถวหลังสุดก็ อยู่ใกล้ห้องน้ำ แล้วก็บริการอาหารตามที่สั่งไว้ หรือขายอาหาร จะได้บริการเป็นแถวแรก ก็จะมีให้เลือกทุกอย่าง
มาถึงบนเครื่องบินกันบ้าง Air Asia X ใช้เครื่องบินลำใหญ่ Airbus A330 ที่นั่งในแถวยาว เป็น 3 ที่นั่ง ทางเดิน 3 ที่นั่ง ทางเดิน 3 ที่นั่ง ยกเว้นแถวหลังๆ ที่เป็น 2 3 2

บนเครื่องบิน
หลังจากเครื่องบินขึ้นแล้ว ก็มีบริการขายอาหารตามเมนู หรือถ้าสั่งทางเว็บมาก่อนแล้ว เขาก็จะเสริฟตามเมนูที่สั่งไป (สั่งทางเว็บถูกกว่า) ก็สั่งอย่างจัดเต็มมา ข้าวไก่เทอริยากิ แล้วก็มีเป็นเซ็ตของหวาน (เค้ก) กับน้ำผลไม้ กับน้ำเปล่า ด้วย

อาหารบนเครื่องบิน
หลังจากนั้นก็ หลับยาวสิครับ ตื่นอีกที ถึงนาริตะแล้ว แล้วเที่ยวที่บิน โหดมาก ถึงก่อนเวลา 1 ชั่วโมง (ถึงประมาณ 6 โมงเย็น) แต่ถึงก่อนก็ไม่ได้มีอะไรดีไปเท่าไร เพราะต้องจอดรอ มันไม่มีงวงช้างให้เข้า ก็รอไป ประมาณครึ่งชั่วโมง ได้เข้าแล้ว พอเข้ามา อากาศแว๊บแรกที่เจอ ก็ หนาวได้ใจมาก แล้วเข้าอาคารก็อุ่นแล้ว พอเข้าอาคาร ก็ได้ลองเปิด Pocket Wifi ใช้ดู เช่าของ Samurai Wifi ไป พอเปิดปั๊บบบบบ ดูในมือถือกำลังจะ connect มี samurai wifi เป็นสิบอัน จอ iPhone ก็เล็กๆ ดู code ข้างหลังไม่ค่อยเห็นเท่าไร ต้องนั่งไล่ๆเอา จนต่อได้แล้ว ใช้เน็ตที่ญี่ปุ่นได้แล้ว เย่
ต่อมา ก็ต้องเจอกับด่าน ตม. ที่คนเยอะมากๆๆๆๆ เท่าที่แอบฟังๆคนอื่นคุยกัน คนไทยทั้งนั้น เยอะมากๆๆ เลย เนื่องจากเสียเวลาเข้าห้องน้ำไปเยอะหน่อย ก็ได้อยู่ท้ายๆแถว ซึ่งทางที่ดี ลงเครื่องแล้วควรวิ่งมา ตม เลย จะได้ไม่ต้องรอนาน ท้ายแถวนี่ เป็นชั่วโมงเลย กว่าจะได้ออกมารับกระเป๋า

รอรับกระเป๋า
จากนั้นก็เดินไป Tourist Information ไปขอแผนที่เขา แล้วก็เจอป้ายประกาศอันนึง ที่ทำเอาใจสลาย แงง อดไปดูเลย

ประกาศๆ
จากนั้นก็ เดินออกมาข้างนอก ลงไปจะซื้อตั๋วรถไฟ (ตามที่วางแผนไว้ จะซื้อตั๋วเข้าเมือง แล้วก็พวก one day pass, three day pass, suica ไรพวกนี้) ก็เดินมาด้วยความ งงๆ ไม่รู้จะทำยังไง ก็มีคนไปถามว่า เราจะไปสถานี Hikifune (ใกล้ที่พักที่สุด) ไปยังไง เขาบอกว่า มีรถไฟตรงถึงเลย 980 เยน อีก 5 นาทีจะออก จะทำยังไงหละ ก็ซื้อตั๋ว แล้วก็รีบวิ่งเลยสิครับ บัตรอะไรยังไม่ได้ซื้อทั้งนั้นแหละ

นี่คือตั๋วรถไฟใบแรกที่นั่ง

นี่คือรถไฟที่นั่งครั้งแรก
พอรถไฟมา ก็ได้เจอกับศัพท์ที่ได้ร่ำเรียนมาคำแรก 特急 (Tokkyuu) รถด่วนพิเศษ ก็นั่งจนถึง Hikifune ไม่นานมาก ชั่วโมงกว่า มั้ง ถึงแล้ว ทำยังไงต่อจะไปที่พักให้ได้ ก็ Google Map กัน กับการผจญภัยในโลกกว้าง กลางคืน ดึกๆ และ หิวๆ รีบไปเก็บของ แล้วออกมากินข้าว
การออกไปกินข้าวก็ใช้วิธีเดินไปหาร้านใกล้ที่สุด แล้วก็พลาดที่สุดที่เลือกร้านนี้ เพราะรู้ทีหลังว่าเป็นร้านเหล้า แล้วอาหารค่อนข้างจะแพง และไม่อิ่ม สั่งจานนี้มากิน สปาเก็ตตี้ น้ำชา และซุป ราคารวม 659 เยน ซึ่งไม่อิ่ม ต้องต่อ เซเวน อีกหน่อย และโหดกว่านั้นคือ เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด … ก็ต้องใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง ก็ต้องแปลให้ผู้ร่วมเดินทาง ก็แปลคร่าวๆ นี่หมู เนื้อ ไก่ เผ็ด ไม่เผ็ด แล้วก็จิ้มรูปช่วยเอา

อาหารมื้อแรกที่ญี่ปุ่น
ทีนี้ก็ได้เข้าบ้านแล้วจริงๆ จริงๆควรจะได้เวลาพักผ่อน รีบนอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ แต่ในความเป็นจริง มีห้องอาบน้ำอยู่ 1 ห้อง และคนอยู่ด้วยกัน 8 คน อ่าคนสุดท้ายก็รอกันไปนะฮะ แต่ดูทุกคนไม่อยากจะไปอาบน้ำเท่าไร เพราะมีโต๊ะอุ่นขา หรือ Kotatsu (อย่าสับสนกับ Tonkatsu เพราะมันจะเป็นอาหาร) ขาอุ่นมาก ฟินจริงๆ จากรูป คง งง ว่ามันอุ่นได้ยังไง แล้วก็ คนเยอะขนาดนี้ขาไปอยู่ไหน จะมาเฉลยให้ฟัง ใต้โต๊ะมันเป็น หลุมลงไป ให้ยืดขาลงไปได้ ขาทุกคนเลยเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะได้ แล้วก็ที่พื้นข้างล่าง จะมีตะแกรง แล้วใต้ตะแกรงจะมีเครื่องทำความร้อนอยู่ ก็ได้อุ่นกันไป สบายๆ

Kotatsu
ปัญหาต่อไป แอร์กับ Heater เป็นเครื่องเดียวกัน และรีโมท เป็นภาษาญี่ปุ่น (ไม่ได้ถ่ายรีโมทมา) ก็เดาได้ว่าปุ่มเปิดปิด มันพิเศษ ทีนี้จะเปิดเป็น heater ยังไงก็สังเกตคำว่า 暖房 (Danbou) ถ้าจะเอาแอร์ก็เป็น 冷房 (reibou) ทีนี้ก็อุ่นกันเต็มที่ อุ่นจนกระทั่ง กลางคืน เหงื่อ ออกกันถ้วนหน้า มีพี่มะเหมี่ยวลุกมาปรับอุณหภูมิ ตื่นมาก็เย็นสบาย จนกระทั่งเปิดประตูห้องนอนเท่านั้นแหละรู้เรื่องเลยสภาพอากาศจริงๆ
เดี๋ยวจะพาไปดูบ้านตามรูปต่อไปนี้เลย

บันไดขึ้นห้องนอน

ห้องนอน แบบ ญี่ปุ่น ด้วย

ห้องนั่งเล่น ซึ่งกลายเป็นห้องตากผ้าไปในที่สุด

ห้องครัว

เครื่องซักผ้า
เดี๋ยวตอนหน้าจะเข้าสู่งานจริงๆแล้ว การเดินทางวันที่ 2 ไปดูงานที่ Tokodai และไปดูระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะของญี่ปุ่น (รถไฟ)

  • 0

GATI2015 Part 1 : Introduction

Category : GATI2015

หมายเหตุ – บทความนี้มีหลาย Part ขอบคุณที่ติดตามจนจบ ครับ

ก่อนจะเล่าประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนวิชา GATI (Global Awareness for Technology Implementation) ก็ต้องเล่าให้ฟังคร่าวๆก่อนวิชานี้คืออะไร
วิชานี้ว่าด้วยเรื่องของการออกแบบเทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่มันใช้ได้กับที่ที่หนึ่ง มันอาจใช้ไม่ได้กับที่อื่นเสมอไปก็ได้ ดังนั้นเราจะต้องเรียนรู้ความแตกต่างเหล่านี้ แล้วก็เปิดใจเรียนรู้ และลองเอาเทคโนโลยีจากที่อื่นๆเสนอมา มาพัฒนาให้ work กับบ้านเรา
วิชานี้มี อาจารย์โปรดปราน Proadpran Punyabukkana แห่งภาคคอม เป็นผู้สอนหลักๆ และสามารถลงเป็น Approved Elective สำหรับบางภาควิชาได้ (เช่น คอม)
มาที่นักเรียนที่เรียนวิชานี้กันบ้าง จะลงเรียนวิชานี้ได้ ต้องเขียนบทความตามหัวข้อที่อาจารย์กำหนด ให้อาจารย์เป็นผู้คัดเลือก ปีนี้มีคนได้รับเลือกมาเรียนวิชานี้จำนวน 8 คนด้วยกัน เย่
  1. Alena Kengchon (Waste Management)
  2. Purichaya Kuptajit (Waste Management)
  3. นพพร บุญสิทธิ์ (Waste Management)
  4. Sanchai Jaktheerangkoon (Disaster Management)
  5. Pawissakan Chirupphapa (Disaster Management)
  6. Fai Huntrakool (Disaster Management)
  7. Lens Chevintulak (Transportation)
  8. Kotchakorn Build Kh (Transportation)

นี่คือทีม Waste Management

นี่คือทีม Disaster Management

นี่คือทีม Transportation
แล้วก็มี TA อีก 1 คน คือพี่มะเหมี่ยว (หรือมะปิ่น) Pinhathai Limrahahpan
วิชานี้ ในปีนี้ เรียนร่วมกับ Tokyo Tech (Tokyo Institute of Technology) หรือ Tokodai ในปีนี้ วิชานี้ Focus ที่หัวข้อ 3 หัวข้อได้แก่
  1. Waste Management
  2. Disaster Management
  3. Transportation
ครึ่งเทอมแรก (ญี่ปุ่นยังไม่เปิดเทอม) ได้ไปศึกษาดูงานอยู่หลายๆที่ ตามหัวข้อที่ปีนี้ Focus
เริ่มต้นที่ Land Fill และเตาเผาขยะ จังหวัดนนทบุรี เห็นภาพนี้แล้วอย่าเพิ่งตกใจ อยากให้เครื่องคอมของทุกท่านมีระบบรับกลิ่น นี่คือสิ่งที่เราทิ้งกันทุกวัน และสิ่งนั้นเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งขยะ

นี่คือ Land Fill
นี่คือเตาเผาขยะ แต่ว่าในไทยเราไม่ได้เผาขยะทุกชนิดนะ อันนี้ทำไว้สำหรับเผาขยะติดเชื้อ — หรือพูดง่ายๆก็คือ ขยะจากโรงพยาบาล นั่นเอง ที่มีเชื้อโรคอยู่เยอะ ดังนั้นเอาไปลง Land Fill นี่ไม่ดีแน่ เลยต้องจัดการเผา วันต่อวันเลยนะ

นี่คือ เตาเผาขยะ
ต่อมาก็ได้ไปดูหน่วยงาน RIMES สถานที่เกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ ซึ่งหน่วยงานนี้ทำหลักๆเกี่ยวกับการแจ้งเตือน Tsunami แต่ว่า หารูปไม่เจอ ขออภัย นะครับ
ต่อมา ก็ได้ไปทดลองเดินทางโดยการคมนาคมที่แสนดีงามของกรุงเทพ ในการเดินทางไปยังที่ต่างๆ รอบกรุงเทพ โดยทำตัวเป็นชาวต่างชาติ และไม่พูดภาษาไทย ลองดูว่า คนไทยจะช่วยเหลือชาวต่างชาติยังไงบ้าง ซึ่งเราได้แบ่งกันเป็น 4 กลุ่ม 4 เส้นทาง เราอยู่กลุ่ม B เพื่อให้เรารู้ถึงปัญหาของการเดินทางในกรุงเทพ และได้ลองการเดินทางบางแบบที่อาจยังไม่เคยไป

ตัวอย่างการเดินทาง ของ Team B
ลองดูวีดีโอก็ได้ ที่นี่
  1. The Journey : https://www.youtube.com/watch?v=tqV…
  2. The Analysis : https://www.youtube.com/watch?v=4qm…
งานที่ทำในปีนี้ช่วง Midterm มี 2 อย่างด้วยกันคือ
  1. Paper ที่เป็น Case study “Institutional Waste Strategy at Chula Engineering, A Case Study” และมีตัวแทน Pawissakan Chirupphapa ไป Present ที่ Waseda
  2. Transportation Documentary แนะนำการเดินทางโดยวิธีต่างๆในประเทศไทย (Youtube link ข้างบนเป็นส่วนหนึ่ง)
หลังจาก Midterm จบแล้ว ก็เข้าสู่ Part 2 คือการเรียนร่วมกับ Tokyo Tech ซึ่งเขาก็มีนักเรียน 8 คนเหมือนกัน เรียนกันทางไกลผ่าน Polycom และทำงานกันทางไกลผ่าน Google Drive และ Google Hangout มี expert ในแต่ละสาขามาบรรยายให้ฟัง ทั้งจากไทย และญี่ปุ่น หลังจากนั้นเราก็ต้องแบ่งกลุ่มกันเพื่อทำ Proposal และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากปัญหาที่เราได้ศึกษา และเรียนรู้กันมา แต่ละกลุ่ม ก็จะมีนักเรียนไทย 2-3 คน และนักเรียนญี่ปุ่น 2-3 คน ซึ่งนักเรียนญี่ปุ่นมีหลากหลายสัญชาติมากทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย

บรรยากาศเวลานั่งเรียนผ่าน Polycom

บรรยากาศจากฝั่งญี่ปุ่นก็มา
เราก็มีการคุยกันในกลุ่ม และทำงาน ทำ Project กันทุกสัปดาห์ และมีการ Present ทุกสัปดาห์เหมือนกัน และการ Present proposal สุดท้าย จะมีขึ้นที่ ญี่ปุ่น ช่วง 17-24 ธ.ค. ที่เราจะได้ไปเจอกันแบบ face to face กันแล้ว
ตอนต่อๆไปจะเกี่ยวกับการเดินทาง การผจญภัยในญี่ปุ่นแล้ว หละ … ตามรูป

นี่คือ เกือบ ครบทีม นักเรียน และอาจารย์ใน วิชานี้